KIN

Bedbug

ระวัง ! ภัยอันตรายจากตัวเรือดในห้องนอน

 

รู้หรือไม่ !? หลังจากตื่นนอนแล้ว รู้สึกคันตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ใบหน้า แขนขา มีรอยแดงทั่วตัว หรืออาจมีเม็ดตุ่มใสขึ้นมาด้วย นั้นหมายความว่าที่นอนของคุณกำลังถูกตัว “ ตัวเรือด ” หรือ  “ Bedbug ” มารบกวนแล้ว ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าคือตัวอะไรกันแน่ ใช่ตัวไรฝุ่นหรือไม่

ตัวเรือด ( Bed bug ) เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่ตัวเป็นสีน้ำตาลแดง ขนาดตัวประมาณเห็บสุนัขที่ยังไม่กินเลือด คือมีขนาด 5 - 6 มิลลิเมตร มักจะชอบซุกอาศัยอยู่ซอกหลืบของเบาะ ฟูก ที่นอน เพื่อรอคอยกัดกินเลือดมนุษย์ในยามค่ำคืน และนอกจากจะก่อความรำคาญจากการกัดและรบกวนการนอนแล้ว โปรตีนในน้ำลายของตัวเรือดยังมีพิษ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดมีอาการบวมอักเสบ และในผู้ที่แพ้น้ำลายของตัวเรือดนั้น จะทำให้เป็นผื่นขึ้นตามตัวได้แม้จะถูกกัดเพียงไม่กี่จุดก็ตาม ทั้งนี้ทาง Kin จะมาแนะนำวิธีการป้องกันและกำจัดตัวเรือดดังต่อไปนี้

 

1.การกำจัดโดยใช้ความร้อน

เช่น

• การต้มผ้าปูที่นอน ม่าน และเครื่องใช้ทำจากผ้าในน้ำเดือดอย่างน้อย 10 นาที
• การใช้เครื่องพ่นไอน้ำร้อนฉีดพ่น โดยต้องมีอุณหภูมิอย่างน้อย 60 องศาเซลเซียส

2.การใช้สารเคมีฉีดพ่น

โดยใช้สารกำจัดแมลงประเภทผสมน้ำ หรือประเภทสเปรย์กระป๋องอัดก๊าซ ทั้งนี้ต้องเลือกใช้สารเคมีที่ตัวเรือดยังไม่สร้างความต้านทาน และต้องพ่นให้ทั่วทุกซอกมุมที่เป็นแหล่งหลบซ่อนจึงจะได้ผล

 

3.การปรับปรุงสภาพแวดล้อม

ควรทำเมื่อกำจัดตัวเรือดหมดแล้ว โดยการกำจัดแหล่งหลบซ่อนของตัวเรือดทั้งหมด

เช่น

- รอยขาดของวอลเปเปอร์

- รอยต่อระหว่างหัวเตียงกับผนังห้อง

- รอยแตกอาคารต่างๆ

 

4.ข้อสังเกต ที่บอกให้เรารู้ว่ามีตัวเรือดอยู่แม้ไม่พบเห็นตัว

1. รอยถูกดูดกัดเลือดบนตัวคน

2. รอยคราบเลือดคนบนผ้าปูที่นอน

3. รอยเปื้อนมูลดำของตัวเรือดเป็นจุดเล็กๆ สีดำที่มันชอบทิ้งไว้บริเวณหลบซ่อน

4. คราบของตัวเรือดที่ลอก และไข่ของเรือดเป็นลักษณะวงรีสีขาว ขนาดเล็กที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า

คราวนี้คุณจะรู้แล้วว่ามีตัวเรือดอยู่ในห้องหรือเปล่าถ้ามีสิ่งบ่งชี้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องรีบสำรวจและกำจัดโดยด่วน !

 

วิธีการรักษาเมื่อถูกตัวเรือดกัด

ส่วนมากเน้นการรักษาตามอาการ โดยแนะนำให้ทานยาแก้แพ้ แก้ค้น หรือทายากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อรักษาอาการคันจากผื่นที่ถูกตัวเรือดกัด รวมถึงผู้ป่วยควรรักษาสุขอนามัยที่ดี ระวังไม่ให้ผื่นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำอีก

 

ขอขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ศรีพัฒน์ เชียงใหม่ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข