ศูนย์ตรวจการนอนหลับ เอสเอ็มดีเอกซ์ คิน-ออริจิ้น
ตรวจการนอนหลับแบบ Full Sleep Test
- คลื่นไฟฟ้าสมองและหัวใจ
- ระดับออกซิเจนในเลือด
- การทำงานของกล้ามเนื้อ
อาการใดที่บอกว่าคุณจำเป็นต้องรับการตรวจการนอนหลับ (Sleep test)
ศูนย์ตรวจการนอนหลับ สลีปเทส (Sleep Test) คือ?
ศูนย์ตรวจการนอนหลับ SMDX KIN-ORIGIN Sleep Center เป็นศูนย์ตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) ที่ทันสมัย ติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบการนอนหลับ (Sleep Test) โดยผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจในศูนย์ตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อติดตามอาการต่าง ๆ ของร่างกายระหว่างการนอนหลับ เช่น คลื่นสมอง การหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด การเคลื่อนไหวของร่างกาย และการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งกระบวนการนี้จะเรียกว่าการทำ "สลีปเทส" หรือ "Test Sleep" โดยทางศูนย์ตรวจของเรามีห้องให้บริการร่วม 8 หัองนอน และมีนักตรวจการนอนหลับ (sleep technician) เฝ้าดูตลอดทั้งคืน
"ศูนย์ตรวจ SMDX KIN-ORIGIN Sleep Center การตรวจการนอนหลับแบบ
Full Sleep Test ตรวจการนอนหลับแบบละเอียดที่สุดและแม่นยำที่สุดในปัจจุบัน"
Polysomnography (PSG) คืออะไร?
Polysomnography หรือ PSG เป็นการตรวจการนอนหลับแบบละเอียดที่สุดในปัจจุบัน เปรียบเสมือนการ "ส่องกล้อง" ดูทุกระบบในร่างกายของคุณขณะหลับ ตั้งแต่สมองจนถึงปลายเท้า โดยใช้เครื่องมือและเซ็นเซอร์หลากหลายชนิดที่ติดตั้งบนร่างกายของคุณ
การตรวจนี้จะทำในห้องพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะ มีการควบคุมแสง เสียง และอุณหภูมิ เพื่อให้ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมการนอนปกติของคุณมากที่สุด
PSG ตรวจอะไรบ้าง?
- คลื่นสมอง (Electroencephalogram - EEG)
- ใช้อิเล็กโทรดติดที่หนังศีรษะเพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง
- แสดงระยะการนอนหลับต่างๆ เช่น ระยะหลับตื้น หลับลึก และระยะฝัน (REM sleep)
- ช่วยวินิจฉัยโรคลมหลับ (Narcolepsy) หรือภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)
- ใช้เซ็นเซอร์ติดบริเวณรอบดวงตา
- ตรวจจับการกลอกตาขณะหลับ โดยเฉพาะในช่วง REM sleep
- ช่วยในการวินิจฉัยความผิดปกติของการนอนในระยะ REM
- ใช้เซ็นเซอร์วัดการไหลของอากาศที่จมูกและปาก
- ใช้สายรัดรอบอกและท้องเพื่อวัดการขยายตัวของทรวงอกและช่องท้อง
- ตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) หรือการหายใจผิดปกติอื่นๆ
- ใช้อิเล็กโทรดติดที่หน้าอกเพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- ตรวจจับความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจขณะนอนหลับ
- ช่วยวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่สัมพันธ์กับการนอนหลับ
- ใช้เซ็นเซอร์ติดที่ขาและคาง
- ตรวจจับการกระตุกของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะขากระตุกขณะหลับ (Periodic Limb Movement Disorder)
- วัดระดับการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อในแต่ละช่วงของการนอน
- ใช้อุปกรณ์หนีบปลายนิ้วเพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือด
- ตรวจจับการลดลงของออกซิเจนซึ่งอาจเกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ช่วยประเมินความรุนแรงของปัญหาการหายใจขณะนอนหลับ
ทำไม PSG ถึงเป็นการตรวจที่ดีที่สุด?
- ครบถ้วน
- ตรวจทุกระบบที่เกี่ยวข้องกับการนอนในคืนเดียว
- สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างระบบต่างๆ เช่น การหยุดหายใจส่งผลต่อคลื่นสมองและการเต้นของหัวใจอย่างไร
- ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้มาตรฐานทางการแพทย์
- มีผู้เชี่ยวชาญคอยสังเกตและบันทึกข้อมูลตลอดทั้งคืน
- ลดความคลาดเคลื่อนจากการรายงานด้วยตนเองของผู้ป่วย
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
- โรคลมหลับ (Narcolepsy)
- ภาวะขากระตุกขณะหลับ (Periodic Limb Movement Disorder)
- ภาวะนอนละเมอ (Parasomnia)
- ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia) ที่มีสาเหตุทางกายภาพ
- เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการนอนและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
- ช่วยในการวางแผนการรักษาแบบองค์รวม
กระบวนการตรวจสอบการนอนหลับในศูนย์ตรวจการนอนหลับ SMDX KIN-ORIGIN Sleep Center
1. การเตรียมตัวก่อนการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test)
ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจการนอนหลับ เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์
ในวันที่เข้ารับการตรวจการนอนหลับ หลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และนำยาที่ต้องใช้ประจำมาให้แพทย์ทราบ
เพื่อให้การตรวจสอบการนอนหลับ (Test Sleep) ดำเนินไปอย่างราบรื่น
2. การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบการนอนหลับ (Sleep Test)
เมื่อผู้ป่วยมาถึงห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่จะทำการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบต่าง ๆ เช่น อิเล็กโทรดเพื่อบันทึกคลื่นสมองและ
การเคลื่อนไหวของตา สายรัดเพื่อวัดการหายใจ เซ็นเซอร์เพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือด และอุปกรณ์อื่น ๆ
ที่ใช้ในการตรวจสอบการนอนหลับ
3. การตรวจสอบระหว่างการนอนหลับ (Sleep Test)
ผู้ป่วยจะนอนหลับในห้องปฏิบัติการที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
ตลอดคืน การทดสอบนี้เรียกว่า Polysomnography (PSG) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "สลีปเทส"
4.การวิเคราะห์และรายงานผลการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test)
หลังจากการตรวจการนอนหลับเสร็จสิ้น ข้อมูลที่ได้จะถูกวิเคราะห์โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับเพื่อนำมาประเมิน
และวินิจฉัยโรคหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ จากนั้นจะมีการจัดทำรายงานเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสม
ประโยชน์ของการตรวจสอบการนอนหลับในห้องปฏิบัติการ (Sleep Test)
- การวินิจฉัยโรคและความผิดปกติในการนอนหลับ (Sleep Test)
ห้องปฏิบัติการการนอนหลับช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับได้อย่างแม่นยำ เช่น
การหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea), โรคลมชัก (Seizure Disorders), โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) และโรคการ
เคลื่อนไหวผิดปกติระหว่างการนอนหลับ (Restless Legs Syndrome)
- การประเมินความรุนแรงของโรคด้วยการทำ Test Sleep
ห้องปฏิบัติการการนอนหลับช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของโรคหรือความผิดปกติ และให้การรักษาที่เหมาะสม
- การติดตามผลการรักษาผ่านการทำ สลีปเทส
ห้องปฏิบัติการการนอนหลับสามารถใช้เพื่อติดตามผลการรักษาและประเมินว่าการรักษาที่ให้มาได้ผลหรือไม่
ความสำคัญของการตรวจสอบการนอนหลับ (Sleep Test)
การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพโดยรวม การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายและจิตใจฟื้นฟู การขาดการนอนหลับหรือการนอนหลับที่ไม่เป็นปกติสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายด้าน เช่น ความจำเสื่อม ภูมิคุ้มกันต่ำ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น และอารมณ์แปรปรวน ดังนั้นการตรวจสอบการนอนหลับ (Sleep Test) จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติในการนอนหลับ
ประเภทของการทำสลีปเทส (Test Sleep)
1. Polysomnography (PSG)
เครื่อง PSG (Polysomnography) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์การนอนหลับของบุคคล
ซึ่งเครื่องนี้จะเก็บข้อมูลหลายประเภทในขณะที่ผู้ป่วยกำลังนอนหลับ เช่น กิจกรรมของสมอง (EEG), การเคลื่อนไหวของ
ดวงตา (EOG), การทำงานของกล้ามเนื้อ (EMG), การหายใจ, อัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด, การ
เคลื่อนไหวของร่างกาย, และการทำงานของระบบหายใจ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาการนอนหลับ เช่น
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea), การนอนกรน, โรคลมหลับ (Narcolepsy) และความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับการนอนหลับได้อย่างแม่นยำ
2. Home Sleep Apnea Testing (HSAT)
Home Sleep Apnea Testing (HSAT) เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ที่สามารถ
ทำได้ที่บ้านของผู้ป่วย ซึ่งแตกต่างจากการตรวจด้วย Polysomnography (PSG) ที่ต้องทำในห้องปฏิบัติการการนอนหลับ
HSAT เป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดเวลามากขึ้นสำหรับผู้ที่อาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
3. Multiple Sleep Latency Test (MSLT)
Multiple Sleep Latency Test (MSLT) เป็นการทดสอบที่ใช้ในการประเมินระดับความง่วงนอนในช่วงกลางวัน และ
ความสามารถในการเข้าสู่ระยะหลับลึกของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ในการวินิจฉัยโรคการนอนหลับ เช่น โรคลมหลับ
(Narcolepsy) และ ภาวะง่วงนอนเกินพอดี (Idiopathic Hypersomnia)
ประโยชน์ของการทำ Test Sleep (สลีปเทส)
1. การวินิจฉัยโรค และความผิดปกติในการนอนหลับ (Sleep Test)
การทำสลีปเทสสามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ เช่น การหยุดหายใจขณะหลับ
(Sleep Apnea), โรคลมชัก (Seizure Disorders), โรคนอนไม่หลับ (Insomnia), และโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติระหว่าง
การนอนหลับ (Restless Legs Syndrome)
2. การประเมินความรุนแรงของโรคผ่านการทำ Sleep Test
การทำสลีปเทสช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของโรคหรือความผิดปกติ และให้การรักษาที่เหมาะสม
3. การติดตามผลการรักษาผ่านการทำ Sleep Test
การทดสอบการนอนหลับสามารถใช้เพื่อติดตามผลการรักษาและประเมินว่าการรักษาที่ให้มาได้ผลหรือไม่
ผลการทดสอบการนอนหลับ (Test Sleep) ที่ได้จากการทำสลีปเทส
ผลการทดสอบการนอนหลับจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยปัญหาการนอนหลับและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ข้อมูลที่ได้จากการทำสลีปเทสจะถูกวิเคราะห์และแปลผลเพื่อนำมาใช้ในการพิจารณาว่าควรทำการรักษาในขั้นตอนต่อไปอย่างไร
คำแนะนำการเตรียมตัวสำหรับการทำสลีปเทส
- เข้านอน และตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน
- สร้างบรรยากาศห้องนอนที่เงียบ สลัว และเย็นสบาย
- งดคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ไม่ควรออกกำลังกายใกล้เวลานอน
- ผ่อนคลายก่อนนอน ด้วยการอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเบาๆ
Hyperboric Oxygen Therapy (HBOT) สำหรับอาการนอนไม่หลับ
การบำบัดด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy หรือ HBOT) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้การหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ภายใต้ความดันสูงกว่าบรรยากาศปกติ วิธีนี้มีการนำมาใช้ในการรักษาหลายโรค รวมถึงการนอนไม่หลับด้วย HBOT ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดและเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ซึ่งอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงระบบประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและอาจช่วยให้หลับสบายขึ้น
ประโยชน์ของ HBOT ในการรักษาอาการนอนไม่หลับ
1. การเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
HBOT ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดและเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ซึ่งอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายรวม
ถึงระบบประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและอาจช่วยให้หลับสบายขึ้น
2. การลดการอักเสบ และบรรเทาความเครียด
HBOT มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและช่วยบรรเทาความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ
3. การฟื้นฟูสมอง
มีการศึกษาแสดงว่า HBOT สามารถช่วยฟื้นฟูสมองและระบบประสาท ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับที่เกิดจาก
ความผิดปกติของสมองหรือระบบประสาท
4. การปรับปรุงคุณภาพการนอน
HBOT อาจช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับโดยรวม ทำให้การนอนหลับเป็นไปอย่างราบรื่นและลึกขึ้น ซึ่งสามารถลดอาการตื่น
ดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นนอน
ผู้ที่ควรพิจารณาใช้ HBOT สำหรับอาการนอนไม่หลับ
- ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังและไม่ได้ผลจากการรักษาแบบอื่น ๆ
- ผู้ที่มีความเครียดสูงหรือมีอาการซึมเศร้าที่ส่งผลต่อการนอนหลับ
- ผู้ที่มีปัญหาด้านการหายใจที่อาจเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมองหรือระบบประสาทจากการบาดเจ็บหรือโรคต่าง ๆ
คำแนะนำในการรับการรักษา HBOT
1. ปรึกษาแพทย์
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยของการรับการบำบัด HBOT สำหรับอาการนอน
ไม่หลับของคุณ
2. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการรับการบำบัด HBOT
3. ติดตามผลการรักษา
ควรติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและรายงานอาการให้แพทย์ทราบเพื่อปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
การบำบัดด้วยออกซิเจนความดันสูง (HBOT) มีศักยภาพในการช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับโดยการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย ลดการอักเสบและความเครียด และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการรักษาเพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยในแต่ละกรณี