บอกลาปวดหลัง คืนชีวิตอิสระด้วย “กายภาพบำบัด”

บอกลาปวดหลัง คืนชีวิตอิสระด้วย “กายภาพบำบัด”

อย่าให้อาการปวดหลังรบกวนใจ รักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้สูงอายุหรือคนที่ต้องยกของหนักเท่านั้น แต่รวมถึงวัยทำงานที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือแม้แต่วัยรุ่นที่แบกกระเป๋าหนักๆ ก็อาจเผชิญกับอาการนี้ได้ ปัญหานี้ไม่เพียงสร้างความรำคาญ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากปล่อยไว้ อาจเรื้อรังและนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่าเดิม โดยอาการปวดหลัง สามารถรักษาและจัดการได้ด้วยแนวทางที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟู บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาที่ทันสมัย ในการช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความปวด และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง

 

ปวดหลัง...เรื่องใกล้ตัวที่อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก

อาการปวดหลังสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ตามระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ

  • ปวดหลังเฉียบพลัน (Acute Back Pain) : มักเกิดขึ้นกะทันหันและคงอยู่ไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น การยกของผิดท่า การบิดตัวผิดจังหวะ การเล่นกีฬา หรือการทำกิจกรรมที่ใช้หลังมากเกินไป อาการมักจะดีขึ้นได้เองเมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ปวดหลังเรื้อรัง (Chronic Back Pain) : อาการปวดยาวนานกว่า 12 สัปดาห์ แม้ว่าจะได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วก็ตาม อาการปวดประเภทนี้มักซับซ้อนกว่า และอาจเกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย เช่น ความเสื่อมของกระดูกสันหลัง, หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแม้กระทั่งปัจจัยทางจิตใจ





สาเหตุหลักของอาการปวดหลัง รู้ไว้ ป้องกันได้

อาการปวดหลังเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือเส้นประสาท

  1. ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    • กล้ามเนื้ออักเสบ/ตึงตัว : พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหลังมากเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ นั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน การยกของหนัก หรือการออกกำลังกายที่ผิดวิธี
    • การฉีกขาดของกล้ามเนื้อ/เส้นเอ็น : เกิดจากการบาดเจ็บเฉียบพลันที่ทำให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นถูกยืดออกมากเกินไป
  2. ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง
    • หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท : หมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนที่หรือปลิ้นออกมา กดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงตามแนวเส้นประสาทไปยังบั้นท้าย ขา หรือเท้าได้
    • กระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative Disc Disease/Spinal Stenosis) : เป็นความเสื่อมตามวัยที่ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพ สูญเสียความยืดหยุ่น และช่องว่างในกระดูกสันหลังแคบลง กดทับเส้นประสาท
    • กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) : กระดูกสันหลังข้อหนึ่งเลื่อนออกจากแนวปกติ ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทและอาการปวด
    • ภาวะกระดูกสันหลังคด (Scoliosis) : ความผิดปกติของกระดูกสันหลังที่มีการโค้งงอผิดรูป อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและอาการปวด
    • โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) : ทำให้กระดูกเปราะบางและมีโอกาสเกิดกระดูกสันหลังยุบตัวได้ง่าย แม้จากการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
  3. ปัจจัยอื่นๆ
    • น้ำหนักตัวเกิน/โรคอ้วน : น้ำหนักที่มากเกินไปสร้างภาระให้กับกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อหลัง
    • การตั้งครรภ์ : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และการยืดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้องส่งผลต่อกระดูกสันหลัง
    • พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม : การนั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน, การยกของหนักโดยไม่ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง, การนอนบนที่นอนที่ไม่ได้มาตรฐาน
    • โรคประจำตัวบางชนิด : เช่น โรคนิ่วในไต, เนื้องอกบางชนิด, การติดเชื้อในกระดูกสันหลัง ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน




การวินิจฉัยอาการปวดหลัง ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง

การวินิจฉัยอาการ ปวดหลัง ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการวางแผนการรักษา แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการปวด ระยะเวลา ปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง รวมถึงประวัติทางการแพทย์และพฤติกรรมการใช้ชีวิต จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายเพื่อประเมิน

  • ความสามารถในการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง : การงอตัว บิดตัว เงยหน้า
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ : บริเวณหลัง แกนกลางลำตัว และขา
  • การทำงานของระบบประสาท : การรับความรู้สึก การตอบสนองของเอ็น (reflexes) และการตรวจหาอาการชาหรืออ่อนแรง

ในบางกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจสั่งการตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • X-ray : เพื่อดูความผิดปกติของกระดูก โครงสร้าง และการจัดเรียงตัวของกระดูกสันหลัง
  • MRI (Magnetic Resonance Imaging) : เป็นการตรวจที่ให้รายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อนได้ดีเยี่ยม เช่น หมอนรองกระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือเนื้องอก
  • CT Scan (Computed Tomography Scan) : ให้ภาพตัดขวางของกระดูกและเนื้อเยื่ออ่อนที่ละเอียด
  • การตรวจเลือด : เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบ การติดเชื้อ หรือโรคทางรูมาติก

 

กายภาพบำบัด หัวใจสำคัญของการรักษา และป้องกันอาการปวดหลัง

เมื่อพูดถึงการรักษาอาการ ปวดหลัง การทำกายภาพบำบัด มักเป็นทางเลือกแรกและเป็นแนวทางการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง ที่แนะนำการใช้การบำบัดแบบไม่ใช้ยา รวมถึงกายภาพบำบัด เป็นแนวทางแรกในการรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลันและเรื้อรัง นักกายภาพบำบัดจะทำงานร่วมกับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อออกแบบโปรแกรมการฟื้นฟูที่เหมาะสมและตรงกับสาเหตุของอาการปวดแต่ละบุคคล ซึ่งแตกต่างจากการรักษาด้วยยาที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราวแต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ




บทบาทของนักกายภาพบำบัดในการดูแลอาการปวดหลัง

นักกายภาพบำบัดไม่เพียงช่วยลดอาการปวด แต่ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาเป็นซ้ำ

  1. การประเมินและการวินิจฉัยทางกายภาพบำบัด : นักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินอย่างละเอียดเพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด รวมถึงข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และท่าทาง
  2. การลดอาการปวดและการอักเสบ
    • การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด : เช่น อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasound Therapy) เพื่อลดการอักเสบและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต, เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) เพื่อลดปวดและคลายกล้ามเนื้อ, การประคบร้อน/เย็น เพื่อลดอาการตึงและปวด
    • การนวดและเทคนิคการคลายกล้ามเนื้อ: เช่น Myofascial Release หรือ Trigger Point Release เพื่อลดจุดกดเจ็บและคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว
  3. การฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่น
    • การยืดเหยียด (Stretching): เน้นยืดกล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อสะโพก และกล้ามเนื้อขาด้านหลัง (Hamstrings) ที่มักจะตึงและส่งผลต่ออาการปวดหลัง
    • การขยับข้อต่อ (Joint Mobilization/Manipulation): เป็นเทคนิคที่นักกายภาพบำบัดใช้เพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อกระดูกสันหลังที่ติดขัด
  4. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    • Core Stability Exercise: การฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังส่วนลึก มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพยุงกระดูกสันหลังและลดภาระของหลังส่วนล่าง [งานวิจัยจาก McGill et al. (2003) และ Hides et al. (1994) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวในการป้องกันและรักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง]
    • Strengthening Exercise: ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อสะโพก และกล้ามเนื้อขา เพื่อเพิ่มความมั่นคงและสมดุล
  5. การปรับท่าทางและพฤติกรรม
    • Ergonomics (การยศาสตร์): ให้คำแนะนำในการปรับท่าทางขณะนั่ง ยืน เดิน และนอน รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม เพื่อลดแรงกดต่อกระดูกสันหลัง
    • การฝึกเทคนิคการยกของ: สอนวิธีการยกของที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำ
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน: เช่น การเลือกที่นอนที่เหมาะสม, การสวมรองเท้าที่รองรับสรีระ




นวัตกรรมและแนวทางใหม่ๆ ในกายภาพบำบัดเพื่ออาการปวดหลัง

ปัจจุบัน การทำ กายภาพบำบัด มีการนำเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

  • Shockwave Therapy (ESWT) : การใช้คลื่นกระแทกเพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง และการบาดเจ็บของเส้นเอ็น โดยเฉพาะในกรณีที่มีจุดเกาะของกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
  • Dry Needling : เป็นเทคนิคที่ใช้เข็มขนาดเล็กแทงเข้าไปยังจุดกดเจ็บ (Trigger Points) ในกล้ามเนื้อ เพื่อคลายปมกล้ามเนื้อและลดอาการ
  • Neural Mobilization : เทคนิคการขยับเส้นประสาท เพื่อลดการกดทับและการยึดติดของเส้นประสาทที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดร้าว ชา
  • Tele-rehabilitation : การให้บริการกายภาพบำบัดผ่านระบบทางไกล ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับคำปรึกษาและคำแนะนำในการออกกำลังกายได้จากที่บ้าน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกเดินทาง
  • Therapeutic Exercise Apps & Wearable Devices : แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่ช่วยแนะนำท่าออกกำลังกาย และอุปกรณ์สวมใส่ที่ติดตามการเคลื่อนไหว ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเองและติดตามความก้าวหน้า

หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับอาการปวดหลัง อย่าปล่อยทิ้งไว้จนเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดได้ที่ KIN เพื่อรับการประเมินและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

 

สอบถามข้อมูล | นัดชมสถานที่

สาขาลาดพร้าว 71

สาขาสุขุมวิท 107

สาขาพัทยา

สาขาราชพฤกษ์

ข่าวสารบทความ อื่นๆ

KIN Rehab