โรคสามเกลอหัวแข็ง (NCDs)" บรรยายโดย พ.ท. นพ. ชนปิติ สิริวรรณ
ในยุคที่สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว การตระหนักถึงภัยคุกคามสุขภาพที่แฝงตัวมากับวัยเกษียณนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ที่มักเรียกกันว่า "สามภัยเงียบ" ประกอบด้วย โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก
โรคอ้วน : จุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพมากมาย
โรคอ้วนในผู้สูงอายุไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพ การศึกษาจาก The Lancet พบว่า ภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 3 เท่าในผู้สูงอายุ [1] นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งหลายชนิด
คำเตือน : การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหัก
แนวทางการจัดการ:
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่พลังงานต่ำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการเคลื่อนไหวที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับวัย
- ติดตามค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และเส้นรอบเอวอย่างสม่ำเสมอ
โรคเบาหวาน : ภัยเงียบที่ทำลายอวัยวะทั่วร่างกาย
เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประชากรโลกกว่า 422 ล้านคนกำลังเผชิญกับโรคนี้ [2] ความอันตรายของเบาหวานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกาย
คำเตือน : ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่อาการหน้ามืด เป็นลม และเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มได้
แนวทางการจัดการ:
- ควบคุมอาหาร เน้นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความไวต่ออินซูลิน
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ และใช้เทคโนโลยีการติดตามน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring) หากจำเป็น
- รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
โรคความดันโลหิตสูง : ศัตรูเงียบของหัวใจและหลอดเลือด
ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก การศึกษาจาก The New England Journal of Medicine พบว่า การลดความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 120/80 mmHg สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ถึง 25% [3]
คำเตือน : การลดความดันโลหิตอย่างรวดเร็วเกินไปในผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด และเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม
แนวทางการจัดการ:
- ลดการบริโภคเกลือและโซเดียม
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ
- จัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิหรือโยคะ
- รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามผลอย่างใกล้ชิด
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจาก "สามภัยเงียบ" นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งตัวผู้สูงอายุเอง ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ทั้งด้านอาหารและการออกกำลังกาย ควบคู่ไปกับการติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมการดูแลสุขภาพใดๆ เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีการที่เลือกใช้นั้นปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้สูงอายุแต่ละคน
เอกสารอ้างอิง
[1] The Global BMI Mortality Collaboration. (2016). Body-mass index and all-cause mortality: individual-participant-data meta-analysis of 239 prospective studies in four continents. The Lancet, 388(10046), 776-786.
[2] World Health Organization. (2021). Diabetes. https://www.who.int/health-topics/diabetes
[3] SPRINT Research Group. (2015). A randomized trial of intensive versus standard blood-pressure control. New England Journal of Medicine, 373(22), 2103-2116.