ความแตกต่างระหว่างภาวะหลงลืม และโรคสมองเสื่อม

ความแตกต่างระหว่างภาวะหลงลืม และโรคสมองเสื่อม


คุณเคยลืมวางกุญแจไว้ที่ไหน หรือลืมนัดกับเพื่อนบ้างไหม? การลืมเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะเวลาที่เรามีเรื่องให้คิดเยอะ หรือเครียด แต่ถ้าวันดีคืนดีคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มลืมบ่อยขึ้น หรือลืมเรื่องสำคัญๆ จนทำให้ชีวิตประจำวันยุ่งยากขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณควรให้ความสนใจกับสุขภาพสมองของตัวเองมากขึ้น

ในยุคที่คนเราอายุยืนขึ้น การดูแลสุขภาพสมองกลายเป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการแยกให้ออกว่าอาการหลงลืมที่เราเจอเป็นแค่เรื่องปกติตามวัย หรือเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อมที่ต้องรีบดูแลรักษา

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างการหลงลืมธรรมดากับโรคสมองเสื่อม โดยเราจะพูดถึงทั้งข้อมูลทางการแพทย์ และวิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆ เพื่อให้คุณสามารถสังเกตอาการของตัวเอง และคนรอบข้างได้ และรู้วิธีดูแลสุขภาพสมองให้แข็งแรงในระยะยาว


ภาวะหลงลืมทั่วไป และโรคสมองเสื่อม คืออะไร?



ภาวะหลงลืมทั่วไป (Age-Associated Memory Impairment)
การเปลี่ยนแปลงของความจำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติร้ายแรง มักแสดงออกเป็นการลืมเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลืมชื่อคนที่เพิ่งรู้จัก หรือวางของไว้ที่ไหนไม่จำ แต่ไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สามารถปรับปรุงได้ด้วยการดูแลสุขภาพทั่วไป และการฝึกสมอง

1. กลไกการทำงานของร่างกาย

   - เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมองตามวัย โดยเฉพาะในส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ส่วนฮิปโปแคมปัสเป็นโครงสร้างในสมองที่มีรูปร่างคล้ายม้าน้ำ ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างความทรงจำใหม่และช่วยในการนำทาง เมื่อฮิปโปแคมปัสถูกทำลายหรือเสื่อมลง จะส่งผลให้เกิดปัญหาในการจดจำข้อมูลใหม่ๆ
   - สมองมีการหดตัวลงเล็กน้อยตามอายุ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำงานโดยรวม

2. อาการ

   - มักพบการลืมข้อมูลที่ไม่สำคัญ เช่น ชื่อของคนที่ไม่ค่อยพบ หรือสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาสั้นๆ
   - ความจำระยะยาวยังคงดีอยู่ สามารถจำเหตุการณ์สำคัญในอดีตได้

3. ปัจจัยเสี่ยง

   - ความเครียด 
   - การนอนไม่เพียงพอ 
   - ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
   - การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน B12

4. ผลกระทบ

   - มักไม่รบกวนการทำกิจวัตรประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ
   - ผู้มีภาวะนี้ยังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้



โรคสมองเสื่อม (Dementia)

ภาวะที่สมองเสื่อมลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความจำ การคิด และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เกิดจากการตายของเซลล์สมองในวงกว้าง โดยโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด อาการจะค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ และต้องการการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

1. ความผิดปกติในร่างกาย

   - เกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทในสมองอย่างต่อเนื่อง 
   - ในโรคอัลไซเมอร์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อม พบการสะสมของโปรตีนเบต้า-อะมัยลอยด์ (β-amyloid) และโปรตีนทาว (tau) ในเนื้อสมอง
   - เกิดการอักเสบเรื้อรังในสมอง ซึ่งทำลายเซลล์ประสาทเพิ่มเติม


2. อาการ

   - พบความบกพร่องทางการรู้คิด (Cognitive impairment) ในหลายด้าน 
   - ความจำเสื่อมทั้งระยะสั้น และระยะยาว
   - ความยากลำบากในการคิด และวางแผน 
   - การสับสนเกี่ยวกับสถานที่ และเวลา
   - การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และพฤติกรรม


3. การดำเนินโรค 

   - อาการมักแย่ลงอย่างต่อเนื่อง
   - ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำกิจวัตรประจำวัน และคุณภาพชีวิต


4. ปัจจัยเสี่ยง

   - อายุที่เพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 65 ปี)
   - พันธุกรรม
   - โรคหัวใจ และหลอดเลือด
   - การบาดเจ็บที่ศีรษะ
   - การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป


10 ข้อสังเกต ภาวะหลงลืมทั่วไป VS โรคสมองเสื่อม



มาลองตอบคำถามกันเถอะว่า คุณหรือคนใกล้ชิด กำลังอยู่ในภาวะหลงลืมทั่วไป หรือสัญญาณของโรคสมองเสื่อม


  1. คุณลืมชื่อของคนรู้จักที่ไม่ค่อยได้พบบ่อยไหม?
  2. คุณลืมสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาสั้นๆ บ่อยไหม?
  3. คุณลืมเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนบ่อยไหม?
  4. คุณรู้สึกว่าการจัดการกิจกรรมหรือวางแผนในชีวิตประจำวันยากขึ้นไหม?
  5. คุณพบว่าตัวเองฟังคนอื่นพูดนานๆ แล้วจับใจความไม่ค่อยได้ไหม?
  6. คุณรู้สึกสับสนว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหรือเวลาอะไรบ่อยไหม?
  7. คุณลืมวิธีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ที่คุณใช้เป็นประจำบ่อยไหม?
  8. คุณจำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือเหตุการณ์ล่าสุดไม่ค่อยได้ไหม?
  9. คุณรู้สึกว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือทักษะใหม่ๆ ยากขึ้นไหม?
  10. คุณมีปัญหาในการทำกิจกรรมที่คุณเคยทำได้ดี เช่น การขับรถหรือการทำอาหารไหม?



เปิดผล 10 สัญญาณเตือน ภาวะหลงลืมทั่วไป VS โรคสมองเสื่อม
เมื่อคุณตอบคำถามครบแล้ว มาดูผลกันว่าคุณอยู่ในอาการอะไร เช็คคำตอบให้ดีแล้วไปเช็คกันเลย

1-3 ข้อ ภาวะหลงลืมทั่วไป

อาการ: ลืมชื่อคนที่ไม่ค่อยเจอ, ลืมสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาสั้นๆ, ลืมเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ไม่ค่อยส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

คำอธิบาย: อาการแบบนี้มักเกิดจากความเครียด, นอนไม่พอ, หรือมีปัญหาทางจิตใจที่ทำให้สมองทำงานไม่เต็มที่ชั่วคราว การหลงลืมแบบนี้ไม่ได้ส่งผลมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน โดยปกติแล้วอาการพวกนี้จะดีขึ้นถ้าได้พักผ่อนเพียงพอหรือจัดการความเครียดให้ดี

4-6 ข้อ ภาวะหลงลืมชั่วคราว

อาการ: จัดการกิจกรรมยากขึ้น, ฟังคนอื่นพูดนานๆ แล้วจับใจความไม่ค่อยได้, รู้สึกสับสนว่าอยู่ที่ไหนหรือเวลาอะไร

คำอธิบาย: อาการแบบนี้อาจเกิดจากความเครียด, ชีวิตที่เปลี่ยนไป, หรือปัจจัยชั่วคราวอื่นๆ ที่ทำให้สมองทำงานไม่ค่อยดีชั่วคราว อาการนี้อาจจะไม่รุนแรงเท่าโรคสมองเสื่อม แต่ถ้าไม่ได้ดูแลอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ควรคอยสังเกตอาการและปรึกษาหมอถ้าอาการไม่ดีขึ้น

7-10 ข้อ  อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อม

อาการ: ลืมวิธีใช้ของใช้ที่ใช้เป็นประจำ, จำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือเหตุการณ์ล่าสุดไม่ค่อยได้, เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือทักษะใหม่ๆ ยาก, ทำกิจกรรมที่เคยทำได้ดี เช่น ขับรถหรือทำอาหาร ยากขึ้น

คำอธิบาย: อาการแบบนี้มักเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์สมองเสื่อมลง ทำให้ความจำและการทำงานของสมองแย่ลงเรื่อยๆ อาการพวกนี้มักส่งผลชัดเจนต่อการใช้ชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตของคนไข้ เช่น การขับรถ, การทำอาหาร, หรือการดูแลตัวเอง อาการพวกนี้มักจะไม่ดีขึ้นเองและต้องรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอไม่ให้แย่ลงเร็วและช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ผลกระทบทางระบบประสาทของโรคสมองเสื่อม



โรคสมองเสื่อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบประสาทและการทำงานของสมอง:

1. การสูญเสียเซลล์ประสาท

   - เกิดขึ้นโดยเฉพาะในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับความจำและการรู้คิด เช่น ฮิปโปแคมปัส และคอร์เท็กซ์
  - ทำให้สมองมีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับสมองของคนวัยเดียวกันที่ไม่เป็นโรค

2. การลดลงของสารสื่อประสาท

   - โดยเฉพาะอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท
  - การลดลงของสารนี้ส่งผลให้การสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทแย่ลง ทำให้เกิดปัญหาด้านความจำและการเรียนรู้

3. การอักเสบในสมอง

   - เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการสะสมของโปรตีนผิดปกติ
  - ส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์ประสาทมากขึ้น และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

4. การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดในสมอง

   - โดยเฉพาะในโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากหลอดเลือด (Vascular Dementia)
  - ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้เซลล์สมองตายและการทำงานของสมองแย่ลง


วิธีการป้องกัน และรักษา



การป้องกัน

1. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  - ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปสู่สมอง
  - กระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ โดยเฉพาะในส่วนฮิปโปแคมปัส
  - แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

2. การรับประทานอาหารตามหลัก Mediterranean Diet

   - อุดมไปด้วยผักผลไม้ ธัญพืช และไขมันดีจากน้ำมันมะกอก
   - ช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้ถึง 30-35% 


3. การฝึกสมองด้วยกิจกรรมทางปัญญา

   - เช่น การเรียนภาษาใหม่ หรือการเล่นดนตรี
   - ช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive Reserve) ทำให้สมองสามารถทนต่อความเสียหายได้มากขึ้น


4. การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

   - การพูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
   - ลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม


5. การควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ
   - ควบคุมความดันโลหิต, ระดับน้ำตาลในเลือด, และคอเลสเตอรอล
   - เลิกสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์


การรักษา



1. ยารักษาตามอาการ
  -  ยายับยั้งเอนไซม์ Acetylcholinesterase เช่น Donepezil, Rivastigmine ช่วยเพิ่มระดับอะเซทิลโคลีนในสมอง
  - ยา Memantine ช่วยควบคุมระดับกลูตาเมต (Glutamate) ซึ่งอาจเป็นพิษต่อเซลล์ประสาทเมื่อมีมากเกินไป
  - ยาเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินของโรคได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

2. การบำบัดทางพฤติกรรม และการรู้คิด (Cognitive Behavioral Therapy)
  - ช่วยจัดการกับอาการทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวล
  - ช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีเครื่องมือในการจัดการกับอาการต่างๆ ได้ดีขึ้น

3. การปรับสภาพแวดล้อม
  - ทำให้บ้านหรือที่อยู่อาศัยปลอดภัยและเหมาะสมกับผู้ป่วย
  - ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ หรือการจัดวางสิ่งของให้เป็นระเบียบ

4. การสนับสนุนทางสังคม และจิตใจ

  - การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล
  - ช่วยลดความเครียดและเพิ่มคุณภาพชีวิต ทั้งสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว

5. การรักษาแบบบูรณาการ

  - ผสมผสานการรักษาด้วยยา การบำบัดทางพฤติกรรม และการสนับสนุนทางสังคม
  - ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เนื่องจากอาการและการดำเนินของโรคในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน

การสังเกตความแตกต่างระหว่างภาวะหลงลืมทั่วไปและโรคสมองเสื่อมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยที่แน่นอนควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้การตรวจร่างกาย การทดสอบทางจิตประสาท และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสม หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่น่ากังวล ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที


อ้างอิง

  1. Yankner, B. A., Lu, T., & Loerch, P. (2008). The aging brain. Annual Review of Pathology, 3, 41-66.
  2. Querfurth, H. W., & LaFerla, F. M. (2010). Alzheimer's disease. New England Journal of Medicine, 362(4), 329-344.
  3. Folstein, M. F., Folstein, S. E., & McHugh, P. R. (1975). "Mini-mental state": A practical method for grading the cognitive state of patients for the clinician. Journal of Psychiatric Research, 12(3), 189-198.
  4. Nasreddine, Z. S., et al. (2005). The Montreal Cognitive Assessment, MoCA: A brief screening tool for mild cognitive impairment. Journal of the American Geriatrics Society, 53(4), 695-699.
  5. Francis, P. T., et al. (1999). The cholinergic hypothesis of Alzheimer's disease: A review of progress. Journal of Neurology, Neurosurgery & Psychiatry, 66(2), 137-147.
  6. Hillman, C. H., Erickson, K. I., & Kramer, A. F. (2008). Be smart, exercise your heart: Exercise effects on brain and cognition. Nature Reviews Neuroscience, 9(1), 58-65.
  7. Scarmeas, N., et al. (2006). Mediterranean diet and risk for Alzheimer's disease. Annals of Neurology, 59(6), 912-921.
  8. Stern, Y. (2012). Cognitive reserve in ageing and Alzheimer's disease. The Lancet Neurology, 11(11), 1006-1012.
  9. Reisberg, B., et al. (2003). Memantine in moderate-to-severe Alzheimer's disease. New England Journal of Medicine, 348(14), 1333-1341. </antArtifact>



สอบถามข้อมูล | นัดชมสถานที่

สาขาลาดพร้าว 71

สาขาสุขุมวิท 107

สาขาพัทยา

สาขาราชพฤกษ์

 

ข่าวสารบทความ อื่นๆ

KIN Rehab