การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพเรื่องใดบ้าง?

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพเรื่องใดบ้าง?

 

ในยุคที่โลกร้อนขึ้นทุกวัน ภัยเงียบอย่าง "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" กำลังคืบคลานเข้ามาส่งผลกระทบต่อชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะด้าน "สุขภาพ" ที่ถือเป็นผลกระทบที่น่ากังวลอย่างยิ่ง หลายคนอาจเข้าใจว่า ภัยจากภาวะโลกร้อนมีเพียงแค่ "อากาศร้อนจัด" ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นความร้อน (Heat Stroke) แต่ในความเป็นจริง ผลกระทบด้านสุขภาพมีความซับซ้อนและหลากหลายกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรค การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศน์ หรือการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม โดยสามารถสรุปผลกระทบหลักๆ คือ

 

1. โรคระบบทางเดินหายใจ :

- การเพิ่มขึ้นของมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง (PM2.5) และโอโซน ทำให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคปอดอื่นๆ

  • การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นสามารถกระตุ้นอาการของโรคเหล่านี้ได้
2. โรคที่เกิดจากพาหะนำโรค :

- การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและความชื้นสามารถเพิ่มการแพร่กระจายของพาหะนำโรค เช่น ยุง ที่นำไปสู่โรคไข้เลือดออก มาลาเรีย และโรคซิกา

- พื้นที่ที่ไม่เคยมีโรคเหล่านี้มาก่อนก็อาจกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหม่ได้

3. โรคหัวใจและหลอดเลือด :

- การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสุดขั้ว (ร้อนหรือเย็นเกินไป) ส่งผลให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

- มลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

4. โรคที่เกี่ยวกับการขาดน้ำและภาวะร้อนเกิน :

- อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะร้อนเกิน (Heatstroke) และภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก

5. ปัญหาสุขภาพจิต :

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า

- การย้ายถิ่นฐานจากภัยพิบัติทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางจิตใจและสังคม

 

การรับมือ และการดูแลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

1. การป้องกันและลดมลพิษทางอากาศ :

- ลดการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ จักรยาน หรือการเดินแทน
- สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล

2. การควบคุมและป้องกันโรคจากพาหะนำโรค :

- ใช้มุ้งกันยุง สวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนัง และใช้สารไล่ยุง
- ควบคุมแหล่งน้ำขังเพื่อป้องกันการวางไข่ของยุง และจัดการขยะอย่างถูกวิธี

3. การจัดการสุขภาพในช่วงอากาศร้อน :

- ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกลางแจ้งในช่วงที่อุณหภูมิสูง
- สวมเสื้อผ้าที่เบาและระบายอากาศได้ดี

4. การดูแลสุขภาพจิต :

- ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิ การฝึกโยคะ หรือการหากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลาย
- ติดต่อและพูดคุยกับคนใกล้ชิดหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเมื่อรู้สึกเครียด

 

การรักษาเมื่อเกิดปัญหาสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

1. โรคระบบทางเดินหายใจ :

- ใช้ยาพ่นขยายหลอดลมตามคำแนะนำของแพทย์ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีมลพิษสูง
- เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหากมีอาการรุนแรง

2. โรคที่เกิดจากพาหะนำโรค :

- เข้ารับการตรวจและรักษาจากแพทย์เมื่อมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หรืออาการของโรคพาหะนำโรค
- ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาต้านเชื้อหรือวัคซีนป้องกัน

3. โรคหัวใจและหลอดเลือด :

- ควบคุมความดันโลหิตด้วยการรับประทานยาและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- รับการรักษาจากแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบาก

4. ภาวะร้อนเกินและขาดน้ำ :

- ดื่มน้ำเกลือแร่ และพักผ่อนในที่ร่มเมื่อเกิดภาวะร้อนเกิน
- ปรึกษาแพทย์หรือเข้ารับการรักษาในกรณีที่มีอาการรุนแรง

5. สุขภาพจิต :

- เข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
- ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการบำบัดทางจิตใจ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน การป้องกันและการจัดการสุขภาพในระดับบุคคลและชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้น การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและดำรงชีวิตได้อย่างมีสุขภาพดีในยุคที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

 

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในหลายด้าน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น และสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำซ้อนหรือทำให้อาการที่มีอยู่แย่ลงได้ นี่คือผลกระทบหลักๆ และวิธีการรับมือ

 

1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น :
  • การขยายตัวของหลอดเลือด: อุณหภูมิที่สูงขึ้นสามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและความดันโลหิต
    - การขาดน้ำและภาวะร้อนเกิน: ผู้ป่วยสโตรกมักมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะขาดน้ำและร้อนเกิน ซึ่งสามารถทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็วและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสโตรกซ้ำ
2. อุณหภูมิที่เย็นลง :
  • การหดตัวของหลอดเลือด: อุณหภูมิที่เย็นลงทำให้หลอดเลือดหดตัวและเพิ่มความดันโลหิต ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสโตรก
    - ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (Hypothermia): อากาศเย็นจัดสามารถทำให้เกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยสโตรกที่มีการเคลื่อนไหวจำกัด
3. การเปลี่ยนแปลงความชื้น :
  • ความชื้นสูง: การหายใจลำบากและความเหนื่อยล้าจากความชื้นสูงสามารถทำให้ผู้ป่วยสโตรกมีอาการแย่ลงและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
    - ความชื้นต่ำ: การหายใจลำบากจากอากาศแห้งและการสูญเสียน้ำจากร่างกายอย่างรวดเร็วอาจทำให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสโตรก
4. มลพิษทางอากาศ :

- สารพิษในอากาศ: มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง (PM2.5) และสารเคมีอื่นๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญสำหรับการเกิดสโตรก

 

วิธีการรับมือ และดูแล ผู้ป่วยสโตรก (Stroke)

1. การควบคุมอุณหภูมิในบ้าน :

- ใช้เครื่องปรับอากาศและฮีทเตอร์เพื่อรักษาอุณหภูมิในบ้านให้อยู่ในระดับที่สบาย
- ตรวจสอบระบบระบายอากาศเพื่อป้องกันการสะสมของความชื้นและมลพิษในอากาศ

2. การรักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย :

- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ

3. การดูแลสุขภาพหัวใจและโรคหลอดลอดเลือด

- ตรวจสอบความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการใช้ยาและการดูแลสุขภาพ
- รักษาน้ำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย

4. การป้องกันการสัมผัสมลพิษทางอากาศ :

- ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้านในวันที่มีมลพิษสูง
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อลดการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศภายในบ้าน

5. การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต :

- หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่อากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด
- สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมตามสภาพอากาศ และหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายอย่างรวดเร็ว

 

การรักษาเมื่อเกิดปัญหาสุขภาพ

1. การจัดการกับภาวะร้อนเกิน และขาดน้ำ :

- พักในที่ร่มและดื่มน้ำเกลือแร่เมื่อรู้สึกอ่อนเพลียหรือเวียนศีรษะ
- หากอาการรุนแรง ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที

2. การจัดการกับภาวะเย็นเกินและอุณหภูมิร่างกายต่ำ :

- สวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและห่มผ้าหนาเมื่ออยู่ในที่เย็น
- หากอาการรุนแรง ควรรีบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

3. การจัดการกับภาวะหัวใจและหลอดเลือด :

- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการใช้ยาและการดูแลสุขภาพหัวใจ
- เข้ารับการตรวจสุขภาพ และปรึกษาแพทย์เป็นประจำ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอย่างชัดเจน การดูแลสุขภาพให้ดีและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

 

สามารถติดต่อ KIN Rehabilitation & Homecare ศูนย์ฟื้นฟูโรคหลอดเลือดสมองของเราได้ตามช่องทางด้านล่าง

 

 
 

KIN - Rehabilitation & Homecare 
สาขา ลาดพร้าว 71

เลขที่ 6 ซอยนาคนิวาส 18 (ลาดพร้าว 71)

เวลาทำการ  ทุกวัน 09.00 – 18.00 น.

 : KIN - Rehabilitation & Homecare
 แผนที่ : https://bit.ly/2VvPDq6

KIN Origin Healthcare Wellness Center
สาขา สุขุมวิท 107

596 หมู่ 7 ซอยแบริ่ง 10 ถนนแบริ่ง 107
สำโรงเหนือ เมืองสมุทรปราการ 

เวลาทำการ  ทุกวัน 09.00 – 18.00 น.

 : Kin Origin Sukhumvit 107
 แผนที่ : https://shorturl.asia/KxzBk


ข่าวสารบทความ อื่นๆ

KIN Rehab