การรักษาด้วยการฝังเข็ม และการครอบแก้ว

เปิดประสบการณ์รักษาด้วยการฝังเข็ม และครอบแก้ว


การแพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine - TCM) เป็นศาสตร์การแพทย์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี ซึ่งพัฒนามาจากความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังชีวิตที่เรียกว่า "ชี่" (Qi) และหลักการสมดุลของหยิน และหยาง การฝังเข็ม และการครอบแก้วเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญในการแพทย์แผนจีน ซึ่งได้รับความนิยม และการยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน


ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงประโยชน์ และวิธีการรักษาด้วยการฝังเข็ม และการครอบแก้ว รวมถึงหลักการทางการแพทย์แผนจีน ที่สนับสนุนการรักษาเหล่านี้ นอกจากนี้ เราจะอธิบายถึงงานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่ที่สนับสนุนประสิทธิภาพของวิธีการรักษาเหล่านี้



แนวคิดพื้นฐานของการแพทย์แผนจีน

ก่อนที่เราจะเข้าใจการฝังเข็ม และการครอบแก้ว เราจำเป็นต้องเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของการแพทย์แผนจีนก่อน

1. ชี่ (Qi): เป็นพลังงานชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย การไหลเวียนของชี่ที่สมดุล และไม่ติดขัดถือเป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพที่ดี
2. หยิน และหยาง (Yin and Yang): เป็นแนวคิดของความสมดุลระหว่างสองขั้วที่ตรงข้ามกัน เช่น ความเย็น และความร้อน ความสงบ และความกระตือรือร้น สุขภาพที่ดีเกิดจากความสมดุลระหว่างหยิน และหยาง
3. เส้นลมปราณ (Meridians): เป็นเส้นทางที่ชี่ไหลเวียนในร่างกาย มีทั้งหมด 12 เส้นหลัก และเส้นพิเศษอีกหลายเส้น จุดฝังเข็มอยู่ตามแนวเส้นลมปราณเหล่านี้
4. อวัยวะภายใน (Zang-Fu Organs): ในการแพทย์แผนจีน อวัยวะภายในไม่ได้หมายถึงเพียงแค่อวัยวะทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงหน้าที่ และความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย
5. สาเหตุของโรค: การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าโรคเกิดจากความไม่สมดุลภายในร่างกาย หรือการรบกวนจากปัจจัยภายนอก เช่น ความร้อน ความเย็น ความชื้น เป็นต้น


การฝังเข็ม



1. หลักการของการฝังเข็ม

การฝังเข็มเป็นวิธีการที่แพทย์ใช้เข็มเล็กๆ ฝังลงไปในจุดที่เป็นช่องทางของพลังชีวิต หรือจุดชี่ตามร่างกาย ซึ่งมีมากกว่า 360 จุด การฝังเข็มมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลพลังชี่ในร่างกาย โดยเชื่อว่าเมื่อชี่ไหลเวียนอย่างราบรื่น และไม่ติดขัด จะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดี หากมีการติดขัดของชี่จะทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือโรคภัยไข้เจ็บ

2. ขั้นตอนการรักษาด้วยการฝังเข็ม
- การตรวจวินิจฉัยโรค: แพทย์แผนจีนจะทำการตรวจร่างกาย และซักประวัติของผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยใช้วิธีการ 4 อย่าง ได้แก่ การดู การฟัง การถาม และการสัมผัส เพื่อประเมินสถานะของชี่ และระบุจุดที่ชี่ติดขัดหรืออ่อนแอ
- การเลือกจุดฝังเข็ม: แพทย์จะเลือกจุดที่สัมพันธ์กับอวัยวะที่ต้องการรักษา หรืออาการที่พบ จากนั้นใช้เข็มเล็กๆ ฝังลงไปในจุดเหล่านั้น โดยทั่วไปจะใช้เข็ม 5-20 เล่มต่อครั้ง
- การกระตุ้นเข็ม: หลังจากที่ฝังเข็มลงไป แพทย์อาจทำการกระตุ้นเข็มด้วยวิธีต่างๆ เช่น

   - การหมุนเข็ม
   - การใช้ไฟฟ้าผ่านเข็ม (Electroacupuncture)
   - การใช้ความร้อน (Moxibustion)
   - การใช้แสงเลเซอร์ (Laser Acupuncture)

- การปรับสมดุลพลังชี่: เมื่อฝังเข็มแล้ว ร่างกายจะเริ่มปรับสมดุลของชี่ ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้น ลดอาการปวด และช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป การฝังเข็มจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง



3. ประโยชน์ของการฝังเข็ม

- บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง: การฝังเข็มสามารถลดความเจ็บปวดในบริเวณต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดศีรษะ ไมเกรน และปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อม การวิจัยพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่ลดอาการปวดได้

- ส่งเสริมการไหลเวียนเลือด และชี่: เมื่อชี่ และเลือดไหลเวียนดีขึ้น ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการตึงเครียด และความกังวล

- ปรับสมดุลฮอร์โมน: การฝังเข็มสามารถช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในกรณีของผู้หญิงที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก หรือภาวะวัยทอง

- เสริมระบบภูมิคุ้มกัน: มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น

- ลดอาการคลื่นไส้ และอาเจียน: การฝังเข็มได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด

- ช่วยในการรักษาโรคทางระบบประสาท: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มอาจช่วยในการรักษาโรคทางระบบประสาทบางชนิด เช่น โรคพาร์กินสัน และอาการชาตามแขนขา



การครอบแก้ว



1. หลักการของการครอบแก้ว

การครอบแก้ว (Cupping Therapy) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้แก้ว หรือถ้วยสูญญากาศ สร้างแรงดึงบนผิวหนังเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และชี่ การครอบแก้วเชื่อว่าช่วยปลดปล่อยพลังงานที่ติดขัดในร่างกาย ลดการอักเสบ และความเจ็บปวด นอกจากนี้ยังช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลือง


2. ขั้นตอนการครอบแก้ว

- การสร้างสูญญากาศ: แพทย์จะใช้แก้วหรือถ้วย และสร้างสูญญากาศด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้

   - การใช้ความร้อน: จุดไฟในถ้วยแล้วรีบวางลงบนผิวหนัง เมื่อไฟดับ จะเกิดแรงดูด

   - การใช้เครื่องสูบลม: ใช้เครื่องสูบลมออกจากถ้วยหลังจากวางบนผิวหนัง

- การครอบแก้วลงบนผิวหนัง: แก้วจะถูกวางลงบนผิวหนังตรงบริเวณที่ต้องการรักษา แรงดูดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในบริเวณนั้น ทำให้ผิวหนังถูกดึงขึ้นมาเล็กน้อย

- การปรับระยะเวลาครอบแก้ว: การครอบแก้วมักใช้เวลา 5-20 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วย และความเข้มข้นของการรักษา

- การถอดแก้ว: หลังจากครบเวลา แพทย์จะค่อยๆ ปล่อยลมเข้าไปในถ้วยเพื่อคลายแรงดูด แล้วจึงถอดแก้วออก



ประเภทของการครอบแก้ว

- การครอบแก้วแบบแห้ง (Dry Cupping): เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป โดยการครอบแก้วลงบนผิวหนังโดยตรง

- การครอบแก้วแบบเคลื่อนที่ (Moving Cupping): แพทย์จะทาน้ำมันบนผิวหนังก่อน แล้วเคลื่อนถ้วยไปมาบนผิวหนัง

- การครอบแก้วแบบเปียก (Wet Cupping): แพทย์จะทำการขูดผิวหนังเบาๆ หรือเจาะเล็กน้อยก่อนการครอบแก้ว เพื่อให้เลือดไหลออกมาเล็กน้อย

- การครอบแก้วแบบใช้ยาสมุนไพร (Herbal Cupping): ใส่ยาสมุนไพรลงในถ้วยก่อนการครอบแก้ว เพื่อให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนัง


4. ประโยชน์ของการครอบแก้ว
- ลดอาการปวด และการอักเสบ: การครอบแก้วสามารถช่วยลดความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อตึง และบาดเจ็บ อีกทั้งยังช่วยในการลดการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
- ขจัดสารพิษ และเสริมภูมิคุ้มกัน: การครอบแก้วช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลือง และการไหลเวียนเลือด ส่งผลให้ร่างกายสามารถขจัดสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- บรรเทาอาการเครียด และเหนื่อยล้า: การกระตุ้นด้วยการครอบแก้ว ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการเครียด และอ่อนล้า ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
- ช่วยในการรักษาโรคผิวหนัง: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการครอบแก้วอาจช่วยในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สะเก็ดเงิน และโรคผิวหนังอักเสบ
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด: การครอบแก้วช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ


หลักการแพทย์แผนจีนที่สนับสนุนการฝังเข็ม และการครอบแก้ว



ในแพทย์แผนจีน การฝังเข็ม และการครอบแก้ว ไม่ได้ทำงานแยกกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการรักษาทั้งร่างกาย การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ และความสมดุลของชี่ หยินหยาง และการทำงานของอวัยวะต่างๆ มีผลโดยตรงต่อสุขภาพของบุคคล

1. ทฤษฎีเส้นลมปราณ: เส้นลมปราณเป็นเส้นทางที่ชี่ไหลเวียนในร่างกาย การฝังเข็ม และการครอบแก้วช่วยกระตุ้นจุดต่างๆ บนเส้นลมปราณ เพื่อปรับสมดุลการไหลเวียนของชี่
2. หลักการสมดุลหยินหยาง: การรักษาทั้งสองวิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลระหว่างหยิน และหยางในร่างกาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพที่ดี
3. ทฤษฎีห้าธาตุ: แพทย์แผนจีนใช้ทฤษฎีห้าธาตุ (ไม้ ไฟ ดิน โลหะ น้ำ) ในการวินิจฉัย และรักษา โดยเลือกจุดฝังเข็มหรือบริเวณครอบแก้วที่สัมพันธ์กับธาตุที่ต้องการปรับสมดุล
4. การขจัดสิ่งตกค้าง: การครอบแก้วเชื่อว่าช่วยในการขจัดสิ่งตกค้าง หรือพิษออกจากร่างกาย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของแพทย์แผนจีนเกี่ยวกับการชำระล้างร่างกาย


การผสมผสานระหว่างการฝังเข็ม และการครอบแก้ว

แม้ว่าการฝังเข็ม และการครอบแก้วจะเป็นการรักษาที่แตกต่างกัน แต่สามารถใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้ ตัวอย่างเช่น

1. การเสริมฤทธิ์กัน: การฝังเข็มอาจใช้เพื่อลดความเจ็บปวดในจุดที่เฉพาะเจาะจง ในขณะที่การครอบแก้วจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วทั้งบริเวณ

2. การเตรียมพื้นที่: บางครั้งแพทย์อาจใช้การครอบแก้วก่อนการฝังเข็ม เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในบริเวณนั้น ทำให้การฝังเข็มมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. การรักษาแบบองค์รวม: การใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างครอบคลุม โดยการฝังเข็มจะจัดการกับจุดเฉพาะ ในขณะที่การครอบแก้วช่วยในการรักษาบริเวณกว้าง



หลักฐานทางการแพทย์สนับสนุนการฝังเข็ม และการครอบแก้ว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สนับสนุนประสิทธิภาพของการฝังเข็ม และการครอบแก้ว

1. การฝังเข็มกับอาการปวด: การวิจัยพบว่าการฝังเข็มช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่การรักษาแบบทั่วไปไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ในกรณีของโรคไมเกรน และอาการปวดข้อเข่าเสื่อม

2. การฝังเข็มกับภาวะซึมเศร้า: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มอาจช่วยบรรเทาอาการของภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาแบบมาตรฐาน

3. การครอบแก้วกับอาการปวดกล้ามเนื้อ: การวิจัยพบว่าการครอบแก้วสามารถช่วยลดความเจ็บปวด และการอักเสบในกล้ามเนื้อ และช่วยในการฟื้นฟูหลังจากการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การฝังเข็มกับภูมิแพ้: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มอาจช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจได้

5. การครอบแก้วกับการไหลเวียนเลือด: การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการครอบแก้วช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดแ ละออกซิเจนในบริเวณที่รักษา ส่งผลให้กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อได้รับการบำรุง และฟื้นฟูได้เร็วขึ้น


ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง

แม้ว่าการฝังเข็ม และการครอบแก้วจะเป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวัง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้


การฝังเข็ม

  1. อาจเกิดอาการเจ็บ หรือชาเล็กน้อยบริเวณที่ฝังเข็ม
  2. อาจเกิดรอยฟกช้ำ หรือเลือดออกเล็กน้อย
  3. ในกรณีที่ทำโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ อาจเกิดการติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน


การครอบแก้ว

  1. อาจเกิดรอยแดง หรือรอยช้ำบริเวณที่ครอบแก้ว ซึ่งจะหายไปภายใน 2-4 วัน
  2. อาจรู้สึกไม่สบาย หรือเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา
  3. ในกรณีที่ทำการครอบแก้วนานเกินไปหรือแรงเกินไป อาจทำให้ผิวหนังพองหรือเกิดแผลได้

ทั้งนี้ ผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการรักษาด้วยการฝังเข็มหรือการครอบแก้ว

   - ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด

   - ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบ หรือแผลเปิด

   - ผู้ที่ตั้งครรภ์

   - ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ


การผสมผสานการแพทย์แผนจีนกับการแพทย์แผนปัจจุบัน

ในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะนำการแพทย์แผนจีน รวมถึงการฝังเข็ม และการครอบแก้ว มาผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย

1. การรักษาแบบองค์รวม: การแพทย์แผนจีนมองร่างกายเป็นระบบองค์รวม ซึ่งสามารถเสริมมุมมองของการแพทย์แผนปัจจุบันที่มักเน้นการรักษาเฉพาะจุด

2. การลดการใช้ยา: ในบางกรณี การใช้การฝังเข็ม หรือการครอบแก้ว อาจช่วยลดการใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบได้

3. การฟื้นฟูหลังการผ่าตัด: มีการนำการฝังเข็มมาใช้ในการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการปวดและเร่งการฟื้นตัว

4. การรักษาเสริม: ในผู้ป่วยมะเร็ง มีการนำการฝังเข็มมาใช้เพื่อบรรเทาอาการข้างเคียงจากเคมีบำบัด เช่น อาการคลื่นไส้ และอาเจียน

5. การวิจัยร่วมกัน: มีการทำวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน เพื่อศึกษากลไกการทำงาน และประสิทธิภาพของการรักษาแบบแผนจีนในเชิงวิทยาศาสตร์



การฝังเข็ม และการครอบแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แผนจีนที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในการบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง และปรับสมดุลของร่างกาย การฝังเข็มช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของชี่และเลือดในจุดเฉพาะเจาะจง ในขณะที่การครอบแก้วช่วยในการฟื้นฟูร่างกายโดยรวมผ่านการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทั้งสองวิธีสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษา


แม้ว่าจะมีการวิจัยที่สนับสนุนการรักษาด้วยการฝังเข็ม และการครอบแก้ว แต่ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทำการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง นอกจากนี้ ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณภาพ และได้รับการรับรองเพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา


การผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีน และการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ และอาจนำไปสู่การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของการรักษาเหล่านี้ในระยะยาว


ข้อมูลอ้างอิง

  1. Vickers, A. J., et al. (2012). Acupuncture for Chronic Pain: Individual Patient Data Meta-analysis. Archives of Internal Medicine, 172(19), 1444–1453.
  2. Zhao, Z. Q. (2008). Neural mechanism underlying acupuncture analgesia. Progress in Neurobiology, 85(4), 355-375.
  3. Smith, C. A., et al. (2016). Acupuncture for symptoms of menopause: a systematic review of randomized controlled trials. Climacteric, 19(2), 132-142.
  4. Johnston, M. F., et al. (2011). Acupuncture and Immune Function: A Systematic Review. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2011, 260793.
  5. Ezzo, J., et al. (2006). Acupuncture-point stimulation for chemotherapy-induced nausea or vomiting. Cochrane Database of Systematic Reviews, (2), CD002285.
  6. Lam, Y. C., et al. (2008). Efficacy and safety of acupuncture for idiopathic Parkinson's disease: a systematic review. Journal of Alternative and Complementary Medicine, 14(6), 663-671.
  7. Cao, H., Li, X., & Liu, J. (2012). An Updated Review of the Efficacy of Cupping Therapy. PLoS ONE, 7(2), e31793.
  8. Khalil, A. M., et al. (2018). Wet cupping reduces pain and improves health-related quality of life among patients with migraine: a prospective observational study. Biomedical Research and Therapy, 5(8), 2631-2641.
  9. Lauche, R., et al. (2011). The effect of traditional cupping on pain and mechanical thresholds in patients with chronic nonspecific neck pain: a randomised controlled pilot study. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2011, 429537.
  10. Yoo, S. S., & Tausk, F. (2004). Cupping: East meets West. International Journal of Dermatology, 43(9), 664-665.
  11. Emerich, M., et al. (2014). Mode of action of cupping—local metabolism and pain thresholds in neck pain patients and healthy subjects. Complementary Therapies in Medicine, 22(1), 148-158.
  12. MacPherson, H., et al. (2017). Acupuncture for chronic pain and depression in primary care: a programme of research. Programme Grants for Applied Research, 5(3).
  13. Smith, C. A., et al. (2018). Acupuncture for depression. Cochrane Database of Systematic Reviews, (3), CD004046.
  14. Kim, J. I., et al. (2011). Cupping for treating pain: a systematic review. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2011, 467014.
  15. Feng, S., et al. (2015). Acupuncture for the treatment of allergic rhinitis: a systematic review and meta-analysis. American Journal of Rhinology & Allergy, 29(1), 57-62.
  16. Chi, L. M., et al. (2016). The effectiveness of cupping therapy on relieving chronic neck and shoulder pain: a randomized controlled trial. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2016, 7358918.

สอบถามข้อมูล | นัดชมสถานที่

สาขาลาดพร้าว 71

สาขาสุขุมวิท 107

สาขาพัทยา

สาขาราชพฤกษ์

ข่าวสารบทความ อื่นๆ

KIN Rehab