How to นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

How to นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ


ในยุคที่เทคโนโลยี และความเร่งรีบครอบงำชีวิตประจำวันของเรา การนอนหลับอย่างมีคุณภาพกลายเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่ความจริงแล้ว การนอนหลับที่ดีเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพกาย และใจ ลองนึกภาพคุณเองในวันที่นอนไม่พอ สมาธิไม่ดี อารมณ์แปรปรวน และรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน นี่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น


สถิติจาก World Health Organization (WHO) ในปี 2019 ระบุว่า ประมาณ 62% ของผู้ใหญ่ทั่วโลกนอนหลับไม่เพียงพอ (น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืน) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า


ในประเทศไทย จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากร และสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2563 พบว่า คนไทยมีเวลานอนเฉลี่ยเพียง 7 ชั่วโมง 9 นาทีต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่แนะนำให้นอน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน


บทความนี้จะนำเสนอวิธีการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ พร้อมคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และคำแนะนำที่นำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน


1. เข้าใจวงจรการนอนหลับ

ก่อนที่เราจะเรียนรู้วิธีการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ: เราควรทำความเข้าใจกับวงจรการนอนหลับของมนุษย์ก่อน



การนอนหลับของเราแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลักๆ

1.1 Non-REM Sleep (NREM): แบ่งเป็น 3 ระยะ

   - ระยะที่ 1: การเคลื่อนเข้าสู่การนอนหลับ

   - ระยะที่ 2: การนอนหลับเบา

   - ระยะที่ 3: การนอนหลับลึก (Deep Sleep)


1.2 REM Sleep (Rapid Eye Movement) : ช่วงที่เราฝัน และสมองทำงานอย่างหนัก

วงจรนี้จะวนซ้ำประมาณ 4-6 รอบต่อคืน แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 90-120 นาที การนอนหลับที่มีประสิทธิภาพต้องมีทั้งช่วง NREM และ REM ในสัดส่วนที่เหมาะสม


การศึกษาจาก Sleep Foundation พบว่า ผู้ใหญ่ควรมีสัดส่วนการนอนหลับดังนี้:

- 5-10% ในระยะที่ 1 ของ NREM

- 45-55% ในระยะที่ 2 ของ NREM

- 15-25% ในระยะที่ 3 ของ NREM (Deep Sleep)

- 20-25% ใน REM Sleep


เมื่อเข้าใจวงจรการนอนหลับแล้ว เรามาดูวิธีการปรับปรุงคุณภาพการนอนกันเถอะ


2. สร้างสภาพแวดล้อมการนอนที่เหมาะสม

สภาพแวดล้อมมีผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก ลองนึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุณนอนในโรงแรมระดับ 5 ดาว: ห้องมืดสนิท เงียบสงบ อุณหภูมิกำลังดี และเตียงนุ่มสบาย นั่นคือสภาพแวดล้อมที่เราควรจำลองในห้องนอนของเราเอง



2.1 ควบคุมแสง และเสียง

- ปิดไฟ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: แสงสว่างยับยั้งการผลิตเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอน

- ใช้ม่านทึบแสง: ช่วยป้องกันแสงจากภายนอก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องนอนในเวลากลางวัน

- ใช้ White Noise หรือเสียงธรรมชาติ: ช่วยกลบเสียงรบกวนจากภายนอก


การศึกษาในวารสาร Sleep Health พบว่า การลดแสงในห้องนอนลง 10 lux (หน่วยวัดความสว่าง) สามารถเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับได้ถึง 22 นาทีต่อคืน


2.2 ควบคุมอุณหภูมิ

อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการนอนอยู่ที่ประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส การศึกษาจาก National Sleep Foundation พบว่า อุณหภูมิห้องที่สูง หรือต่ำเกินไปสามารถรบกวนวงจรการนอนหลับได้


ในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น การใช้เครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเพื่อควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นในห้องนอนเป็นสิ่งสำคัญ


2.3 เลือกที่นอน และหมอนที่เหมาะสม

ที่นอน และหมอนที่เหมาะสมช่วยรักษาสมดุลของกระดูกสันหลัง และลดอาการปวดเมื่อย การวิจัยจาก Journal of Chiropractic Medicine พบว่า การเปลี่ยนที่นอนเก่าที่มีอายุมากกว่า 9 ปีเป็นที่นอนใหม่สามารถลดอาการปวดหลัง และไหล่ได้


3. กำหนดเวลานอน และตื่นให้สม่ำเสมอ

การรักษาตารางการนอนที่สม่ำเสมอเป็นวิธีที่ง่ายแต่ทรงพลังในการปรับปรุงคุณภาพการนอน นาฬิกาชีวภาพของเราทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีความสม่ำเสมอ



3.1 ตั้งเวลานอน และตื่นที่แน่นอน

พยายามนอน และตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ การศึกษาจาก Sleep Medicine Reviews พบว่า การรักษาเวลานอน และตื่นที่สม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงของโรคเมตาบอลิก และโรคหัวใจได้


3.2 หลีกเลี่ยงการนอนชดเชยในวันหยุด

หลายคนมักนอนตื่นสายในวันหยุดเพื่อชดเชยการอดนอนในวันทำงาน แต่นี่กลับเป็นการรบกวนนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย ทำให้เกิดอาการเหมือน "Jet Lag" เมื่อกลับมาทำงานในวันจันทร์


3.3 ใช้แอปพลิเคชันติดตามการนอน

ในยุคดิจิทัล เราสามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ได้ แอปพลิเคชันติดตามการนอน เช่น Sleep Cycle หรือ Fitbit สามารถช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบการนอนของตัวเอง และปรับปรุงได้ดีขึ้น


4. ปรับปรุงกิจวัตรก่อนนอน (Sleep Hygiene)

กิจวัตรก่อนนอนที่ดีสามารถส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้ว่าถึงเวลาพักผ่อน การศึกษาจาก Journal of Clinical Sleep Medicine พบว่า ผู้ที่มีกิจวัตรก่อนนอนที่ดีมีคุณภาพการนอนที่ดีกว่า และมีอาการนอนไม่หลับน้อยกว่า



4.1 ลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน

แสงสีฟ้าจากหน้าจอสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์สามารถรบกวนการผลิตเมลาโทนินได้ การศึกษาจาก Harvard Health Publishing พบว่า การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนสามารถทำให้การนอนหลับช้าลงถึง 1 ชั่วโมง


คำแนะนำ:

- งดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน

- ใช้โหมด "Night Shift" หรือ "Blue Light Filter" บนอุปกรณ์ของคุณ

- หากจำเป็นต้องใช้งาน ให้ลดความสว่างของหน้าจอลง


4.2 สร้างกิจวัตรผ่อนคลายก่อนนอน

การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อนนอนช่วยให้ร่างกาย และจิตใจพร้อมสำหรับการนอน กิจกรรมที่แนะนำ ได้แก่

- อ่านหนังสือ (แนะนำหนังสือเล่มจริงแทนอ่านบน e-reader)

- ฟังเพลง หรือพอดแคสต์ที่ผ่อนคลาย

- ทำสมาธิ หรือโยคะเบาๆ

- อาบน้ำอุ่น (การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายหลังอาบน้ำช่วยกระตุ้นการนอนหลับ)


การศึกษาในวารสาร Sleep Medicine Reviews พบว่า การทำสมาธิก่อนนอนสามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในการเข้าสู่การนอนหลับ (sleep latency) ได้ถึง 38%


4.3 จัดการความเครียดก่อนนอน

ความเครียด และความวิตกกังวลเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับความกดดันจากหลายด้าน


เทคนิคการจัดการความเครียดก่อนนอน

- เขียนบันทึกประจำวันเพื่อระบายความคิดและความรู้สึก

- ทำ "To-Do List" สำหรับวันพรุ่งนี้เพื่อลดความกังวล

- ฝึกเทคนิคการหายใจ เช่น การหายใจแบบ 4-7-8 (หายใจเข้า 4 วินาที กลั้นหายใจ 7 วินาที และหายใจออก 8 วินาที)


การศึกษาจาก Journal of Clinical Psychology พบว่า การเขียนบันทึกประจำวันก่อนนอนสามารถลดความวิตกกังวลและเพิ่มคุณภาพการนอนได้อย่างมีนัยสำคัญ


5. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพโดยรวม แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพการนอนอีกด้วย การศึกษาจาก Sleep Medicine Reviews พบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำสามารถเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับลึก (Deep Sleep) ได้ถึง 45 นาทีต่อคืน



5.1 เลือกเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสม

แม้ว่าการออกกำลังกายจะมีประโยชน์ แต่การออกกำลังกายใกล้เวลานอนอาจทำให้ร่างกายตื่นตัวเกินไป ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน


5.2 ออกกำลังกายกลางแจ้ง

การออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงเช้าหรือกลางวันมีประโยชน์เพิ่มเติม เนื่องจากแสงแดดช่วยกระตุ้นการผลิตเมลาโทนินในเวลากลางคืน การศึกษาจาก Journal of Clinical Sleep Medicine พบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำมีคุณภาพการนอนที่ดีกว่า และมีอาการนอนไม่หลับน้อยกว่า


6. การบริโภคอาหาร และเครื่องดื่ม

สิ่งที่เรากิน และดื่มมีผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงใกล้เวลานอน




6.1 หลีกเลี่ยงคาเฟอีน และแอลกอฮอล์

- คาเฟอีน: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน การศึกษาจาก Journal of Clinical Sleep Medicine พบว่า การบริโภคคาเฟอีน 6 ชั่วโมงก่อนนอนสามารถลดระยะเวลาการนอนได้ถึง 1 ชั่วโมง

- แอลกอฮอล์: แม้ว่าแอลกอฮอล์อาจทำให้ง่วงเร็วขึ้น แต่มันรบกวนคุณภาพการนอนในช่วงหลัง โดยเฉพาะการนอนหลับ REM การศึกษาจาก Alcoholism: Clinical & Experimental Research พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนลดคุณภาพการนอน REM ลงถึง 24%


6.2 เลือกอาหารที่ส่งเสริมการนอนหลับ

อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ เช่น:

- เชอร์รี่เปรี้ยว: อุดมไปด้วยเมลาโทนินธรรมชาติ

- กล้วย: มีแมกนีเซียมและโพแทสเซียมที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

- ถั่ว: แหล่งของทริปโตเฟนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของเมลาโทนิน

- ปลาแซลมอน: อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า3 ที่ช่วยลดความเครียด


การศึกษาจาก American Journal of Clinical Nutrition พบว่า การรับประทานอาหารที่มีทริปโตเฟนสูงก่อนนอนสามารถเพิ่มคุณภาพการนอนและลดอาการนอนไม่หลับได้


7. ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด

แม้ว่าเทคโนโลยีอาจเป็นตัวรบกวนการนอน แต่หากใช้อย่างเหมาะสม ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนได้



7.1 แอปพลิเคชันช่วยนอน

แอปพลิเคชันเช่น Calm, Headspace, หรือ Sleep Cycle สามารถช่วยในการผ่อนคลายก่อนนอน ติดตามคุณภาพการนอน และปลุกคุณในช่วงที่การนอนตื้นที่สุด การศึกษาจาก Journal of Clinical Medicine พบว่า การใช้แอปพลิเคชันช่วยนอนอย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มคุณภาพการนอนได้ถึง 35%


7.2 อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices)

นาฬิกาอัจฉริยะ และอุปกรณ์สวมใส่อื่นๆ สามารถติดตามรูปแบบการนอน และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพการนอนของคุณ ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงสุขนิสัยการนอนได้


7.3 เทคโนโลยีควบคุมแสง

หลอดไฟอัจฉริยะที่สามารถปรับความสว่าง และสีของแสงตามเวลาของวันสามารถช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพของคุณได้ การศึกษาจาก Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism พบว่า การใช้แสงสีส้มในช่วงเย็นสามารถเพิ่มการผลิตเมลาโทนินได้ถึง 50%


8. การจัดการความเครียด และสุขภาพจิต

ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มีความกดดันสูง



8.1 เทคนิคการผ่อนคลาย

- การฝึกสติ (Mindfulness): การฝึกสติสามารถลดความเครียด และปรับปรุงคุณภาพการนอน การศึกษาจาก JAMA Internal Medicine พบว่า การฝึกสติสามารถลดอาการนอนไม่หลับได้ถึง 50%

- การหายใจแบบลึก: เทคนิคการหายใจช่วยลดความเครียด และเตรียมร่างกายสำหรับการนอน

- โยคะนิทรา: เทคนิคการผ่อนคลายแบบโยคะที่ช่วยเตรียมร่างกาย และจิตใจสำหรับการนอนหลับ


8.2 การบำบัดทางจิตวิทยา

สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับเรื้อรัง การบำบัดทางจิตวิทยาอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ

- Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia (CBT-I): เป็นวิธีการบำบัดที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการนอนไม่หลับ การศึกษาจาก Annals of Internal Medicine พบว่า CBT-I สามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในการเข้าสู่การนอนหลับได้ถึง 19 นาทีและเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับได้ถึง 7.6%


9. การปรึกษาแพทย์

หากคุณได้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นแล้วยังคงมีปัญหาการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เนื่องจากปัญหาการนอนอาจเป็นสัญญาณของโรคทางการแพทย์อื่นๆ



9.1 เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์

ควรพิจารณาปรึกษาแพทย์หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้:

- นอนไม่หลับเป็นประจำเป็นเวลามากกว่า 3 เดือน

- รู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวันแม้ว่าจะนอนครบ 7-9 ชั่วโมง

- มีอาการกรนรุนแรง หรือหยุดหายใจขณะนอนหลับ

- มีอาการนอนไม่หลับที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวัน

9.2 การวินิจฉัยปัญหาการนอน

แพทย์อาจใช้วิธีการต่างๆ ในการวินิจฉัยปัญหาการนอน เช่น:

- การทำแบบสอบถามประเมินคุณภาพการนอน: เช่น Pittsburgh Sleep Quality Index (PSQI)

- การทำบันทึกการนอน: บันทึกเวลาเข้านอน ตื่นนอน และคุณภาพการนอนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์

- การตรวจการนอนหลับ (Polysomnography): การตรวจวัดคลื่นสมอง การเคลื่อนไหวของตา และกล้ามเนื้อขณะนอนหลับ

การศึกษาจาก Sleep Medicine Reviews พบว่า การตรวจการนอนหลับสามารถช่วยวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ได้อย่างแม่นยำถึง 90%

9.3 การรักษาทางการแพทย์

หากพบว่ามีปัญหาการนอนที่เกี่ยวข้องกับโรคทางการแพทย์ แพทย์อาจแนะนำการรักษาต่างๆ เช่น:

- การใช้เครื่อง CPAP: สำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

- การใช้ยานอนหลับ: ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ยานอนหลับในระยะสั้น

- การรักษาด้วยแสง (Light Therapy): สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับนาฬิกาชีวภาพ

การศึกษาจาก New England Journal of Medicine พบว่า การใช้เครื่อง CPAP ในผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 64%


10. การปรับตัวกับสถานการณ์พิเศษ

ในบางสถานการณ์ เราอาจต้องปรับตัวเพื่อรักษาคุณภาพการนอนให้ดี


10.1 การทำงานกะ

สำหรับผู้ที่ต้องทำงานเป็นกะหรือทำงานกลางคืน การรักษาคุณภาพการนอนเป็นเรื่องท้าทาย แต่สามารถทำได้โดย

- พยายามรักษาตารางการนอนให้สม่ำเสมอแม้ในวันหยุด

- ใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้าระหว่างการเดินทางกลับบ้านหลังกะกลางคืน

- สร้างสภาพแวดล้อมการนอนที่มืดสนิทแม้จะเป็นเวลากลางวัน

การศึกษาจาก Occupational and Environmental Medicine พบว่า การใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้าในพนักงานกะกลางคืนสามารถเพิ่มคุณภาพการนอนได้ถึง 18%

10.2 การเดินทางข้ามเขตเวลา (Jet Lag)

สำหรับนักเดินทางที่ต้องข้ามเขตเวลาบ่อยๆ การปรับตัวให้เข้ากับเวลาท้องถิ่นเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ

- ปรับนาฬิกาให้ตรงกับเวลาปลายทางทันทีที่ขึ้นเครื่อง

- พยายามอยู่กลางแจ้งในช่วงกลางวันเมื่อถึงปลายทาง เพื่อช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพ

- หลีกเลี่ยงการงีบยาวในระหว่างวัน

การศึกษาจาก New England Journal of Medicine พบว่า การรับแสงแดดในช่วงเช้าสามารถช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 50%


การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝน และพัฒนาได้ ในโลกยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า และความเครียด การให้ความสำคัญกับคุณภาพการนอนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพกาย และใจ

การปฏิบัติตามคำแนะนำในบทความนี้อย่างต่อเนื่องสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในคุณภาพชีวิตของคุณ จากการศึกษาระยะยาวโดย American Academy of Sleep Medicine พบว่า ผู้ที่ปรับปรุงคุณภาพการนอนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังลดลง 23% มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น 31% และมีความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 40%

ให้การนอนหลับกลายเป็นสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ และคุณจะพบว่าทุกด้านของชีวิตจะดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการทำให้การนอนหลับเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคุณ และสัมผัสกับพลังแห่งการนอนหลับที่มีคุณภาพ!


อ้างอิง

  1. World Health Organization. (2019). Global sleep patterns and problems. WHO Sleep Health Report.
  2. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. (2563). รายงานการสำรวจพฤติกรรมการนอนของคนไทย.

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอน ทั้งการนอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ นอนไม่หลับ สามารถรักษากับเราได้ด้วยการทำ Sleep Test  หากสนใจสามารถติดต่อได้ตามช่องทางด้านล่าง



สอบถามข้อมูล | นัดชมสถานที่

สาขาลาดพร้าว 71

สาขาสุขุมวิท 107

สาขาพัทยา

สาขาราชพฤกษ์

ข่าวสารบทความ อื่นๆ

KIN Rehab