Checklist ข้อเข่าเสื่อม
ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the knee) เป็นปัญหาสุขภาพที่มักค่อย ๆ พัฒนาโดยไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ อาการมักลุกลามไปมากแล้ว โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยกลางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ใช้งานข้อเข่าหนัก หรือมีประวัติบาดเจ็บมาก่อน
การรู้จักสังเกตอาการตั้งแต่ต้น และการดูแลป้องกันอย่างถูกวิธี จะช่วยชะลอความเสื่อมของข้อเข่า ลดความเจ็บปวด และหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่อาจจำเป็นในระยะท้ายของโรคได้
Checklist คุณเสี่ยง "ข้อเข่าเสื่อม" หรือไม่?
หากคุณมีอาการอย่างน้อย 3 ข้อจากรายการด้านล่างนี้ แสดงว่าคุณอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
- อายุ 40 ปีขึ้นไป
- น้ำหนักตัวมาก หรือค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25
- มีเสียงกร๊อบแกร๊บ หรือเสียงดีงในข้อเข่าเวลาขยับ
- ปวดเข่าเวลาเดิน ลุกนั่ง หรือขึ้นลงบันได
- ข้อเข่าบวม ร้อน หรือเจ็บเมื่อสัมผัส
- รู้สึกตึงรอบเข่า หรือบริเวณน่อง
- ข้อเข่าเคลื่อนไหวไม่คล่อง เช่น ลุกจากเก้าอี้ลำบาก
- ปวดเข่าตอนกลางคืนหรือตอนนอน
- เคยบาดเจ็บที่ข้อเข่า หรือมีอาชีพที่ใช้งานข้อเข่าหนัก
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
อาการเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในระยะแรก อาจมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- ปวดข้อเข่าเมื่อใช้งาน เช่น เดิน วิ่ง หรือนั่งพับเข่า โดยอาการจะดีขึ้นเมื่อได้พัก
- ข้อฝืดหรือตึง โดยเฉพาะหลังหยุดเคลื่อนไหว เช่น หลังตื่นนอนหรือนั่งนาน
- ได้ยินเสียงก๊อบแก๊บหรือเสียงเสียดสีจากข้อเข่า
- ขยับเข่าไม่สุด เหยียดหรือหักข้อได้ไม่เต็มช่วง
- กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง เหนื่อยง่าย ปวดเวลาเคลื่อนไหว
- ในบางรายอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือรู้สึกอุ่นบริเวณข้อเข่า
หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยหรือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วิธีป้องกันข้อเข่าเสื่อมในวัยกลางคน
แม้โรคข้อเข่าเสื่อมจะเกิดจากการเสื่อมตามอายุ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดโรคได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้:
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดแรงกดบนข้อเข่า
- ออกกำลังกายที่ไม่กระแทกข้อ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเดินในน้ำ
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เข่ารับน้ำหนักมาก เช่น นั่งพับเพียบ นั่งยอง ๆ หรือนั่งขัดสมาธิ
- ลุกเดินหรือเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ไม่ควรนั่งนิ่งหรือยืนนานเกินไป
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าคับเกินไป
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือเล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกสูง
- ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี
- บริหารกล้ามเนื้อต้นขาเป็นประจำ เพื่อช่วยพยุงข้อเข่า
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
- การนั่งในท่างอเข่าเป็นเวลานาน เช่น นั่งยอง ๆ หรือพับเพียบ
- ขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น
- ยกของหนักหรือออกกำลังกายที่แรงกระแทกสูง เช่น กระโดดหรือวิ่งบนพื้นแข็ง
- ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป
- ละเลยการดูแลสุขภาพข้อเข่า เช่น ไม่ออกกำลังกาย หรือไม่รักษาโรคข้อที่เป็นอยู่
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยง และป้องกันไม่ให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วเกินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
การรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการปวด ชะลอการลุกลาม และฟื้นฟูการใช้งานของข้อเข่า
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานข้อเข่า
- ควบคุมน้ำหนักอย่างจริงจัง
- ออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัด
- ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง เช่น ไม้เท้าหรือสนับเข่า
- ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ยาบำรุงข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต
- ยาทาเฉพาะที่ ลดอาการปวดแบบเฉพาะจุด
.png)
- ฉีดสเตียรอยด์ในกรณีอักเสบเฉียบพลัน
- ฉีดกรดไฮยาลูโรนิกเพื่อเพิ่มน้ำหล่อลื่นในข้อ
- ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ผ่าตัดซ่อมผิวข้อในกรณีเสื่อมเฉพาะบางจุด
- ผ่าตัดจัดแนวกระดูก หากมีการโก่งของขา
- ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม สำหรับกรณีรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันและดูแลได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ การสังเกตอาการร่วมกับการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมจะช่วยชะลอโรคและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากมีอาการบ่งชี้ที่น่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อคงคุณภาพชีวิตและการเคลื่อนไหวในระยะยาว