แผนการรับมือสังคมผู้สูงอายุของในปัจจุบัน
สังคมผู้สูงอายุเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จำนวน 10. 5 ล้านคนในปี 2560 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 14.4 ล้านคนในปี 2570 และ 20.1 ล้านคนในปี 2580 การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น อัตราการเกิดที่ลดลง อายุขัยที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคม เช่น การย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมือง
คำนิยามของ ผู้สูงอายุ 1
สหประชาชาติ (United Nations : UN) “ผู้สูงอายุ” (Older/Elderly person) คือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้อายุ 65 ปีขึ้นไป
พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 3 “ผู้สูงอายุ” หมายความว่า “บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย”
- สังคมผู้สูงอายุ (Aged society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด (หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7)
- สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete-aged society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด (หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14)
- สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด (หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20) สังคมผู้สูงอายุ (Ageing society) หมายถึง สังคมที่ประชากรก าลังมีอายุสูงขึ้น สังเกตได้จากอัตราส่วนร้อยของประชากรสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 แล้วโดยพบว่า มีประชากรเด็กน้อยกว่าประชากรผู้สูงอายุ ส าหรับข้อมูลในปีล่าสุดจากสถิติผู้สูงอายุในเมืองไทย ปี พ.ศ.2561 พบว่า ปัจจุบันเรามีประชากรทั้งหมด 66,413,979 คน เป็นผู้สูงอายุ 10,666,803 คน นับเป็นร้อยละ 16.06 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งมีแนวโน้มก าลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Age Society) และจากข้อมูล World Population Ageing 2017 : Highlights ที่จัดท าโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่า ปี ค.ศ.2017 มีประชากรโลกที่อายุ 60 ปีขึ้นไปอยู่ถึง 962 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จากปี ค.ศ.1980 ี่มีอยู่ 382 ล้านคน และคาดการณ์ว่าใน ปี ค.ศ.2050 ที่จะถึงนี้จะมีประชากรโลกผู้สูงอายุถึงกว่า 2.1 พันล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ.2017 ถึงกว่า 116.2% เลยทีเดียว แล้วทางองค์การสหประชาชาติ (UN) ยังคาดการณ์อีกด้วยว่าในช่วงปี ค.ศ.2001-2100 ถือเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุที่โลกก าลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากขึ้น
ตัวอย่างของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตามนิยามของสหประชาชาติ ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ตามมาด้วยประเทศอิตาลี เยอรมัน และสวีเดน ทั้งนี้ ประเทศที่เข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุหากเป็นประเทศก าลังพัฒนา เมื่อมีจ านวนผู้สูงอายุมากขึ้นทำให้เกิดปัจจัยการผลิตทางด้านแรงงานลดลง เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวมากขึ้น การลงทุนการออมน้อยลงผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) หรือรายได้ประชาชาติน้อยลง มีงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่งบประมาณรายได้ลดลง รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณด้านสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุมากขึ้น อีกทั้งเกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย เช่น ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง สภาพจิตใจย่ าแย่ และความเสื่อมโทรมทางร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของประเทศในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุควรจะร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชนและประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของประชากรที่จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยการให้ความรู้สังคม และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำมากขึ้นสนับสนุนให้มีการเตรียมวางแผนการออม การใช้ชีวิตในบั้นปลายทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และเพื่อไม่ให้เป็นภาระสังคมต่อไป
1 ประเทศไทยกับสังคมผู้สูงอายุ. (2018, สิงหาคม 16). มหาวิทยาลัยมหิดล
สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2565: แนวโน้ม และความท้าทาย
การสูงวัยของประชากรเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ จากรายงาน "สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2565" โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับแนวโน้มและสถานการณ์ผู้สูงอายุในปี 2565 ไว้ว่า
ในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มช้าลง จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2565 ทั่วทั้งโลกมีประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1,109 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรโลก 8,000 ล้านคน
ทั่วทั้งโลกมีแอฟริกาทวีปเดียวที่ยังไม่เป็น "สังคมสูงอายุ" แอฟริกามีสัดส่วนของประชากรสูงอายุต่ำสุด คือ มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 6 ของประชากรทั้งทวีป
ประเทศในเอเชีย 2 ประเทศ มีสถิติเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่โดดเด่นน่าสนใจ จีน มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก คือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 265 ล้านคน ญี่ปุ่น มีอัตราผู้สูงอายุที่สูงมาก คือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 36 ของประชากรทั้งหมด 124 ล้านคน
ทุกวันนี้ ประชากรของประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังมีอายุสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 มี 7 ใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนได้เป็น "สังคมสูงอายุ" ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 10 แล้ว เหลือเพียง 3 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังไม่เป็นสังคมสูงอายุ
สถิติเกี่ยวกับผู้สูงอายุในอาเซียนที่น่าสนใจ ในปี 2565 ประเทศสิงคโปร์มีอัตราผู้สูงอายุสูงสุดในอาเซียน (ร้อยละ 23) และประเทศไทยตามมาเป็นอันดับ 2 (ร้อยละ 19) ส่วนอันดับที่ 3 ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ 275 ล้านคน มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากถึง 30 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11 ของประชากรทั้งหมด ลาว เป็นประเทศที่มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุต่ำสุด คือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เพียงร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด
ในปี 2565 ประเทศไทยมีประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทย 66 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประชากรสูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 13 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมด จังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ลำปาง แพร่ และลำพูน ซึ่งมีอัตราผู้สูงอายุเกินกว่าร้อยละ 26 ของประชากรทั้งหมด ทั้ง 3 จังหวัดนี้ล้วนอยู่ในภาคเหนือ จังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุต่ำสุด 3 อันดับท้ายสุด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งมีอัตราผู้สูงอายุต่ำกว่าร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด ทั้ง 3 จังหวัดนี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
แนวโน้ม และความท้าทาย
การสูงวัยของประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากการประมาณการของสำนักงานสถิติแห่งชาติ คาดว่าในปี 2575 ประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด
การสูงวัยของประชากรไทยนำมาซึ่งความท้าทายหลายประการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการสาธารณสุข ในด้านเศรษฐกิจ การสูงวัยของประชากรส่งผลให้แรงงานในวัยทำงานลดลงและอัตราการพึ่งพิงสูงขึ้น ในด้านสังคม การสูงวัยของประชากรนำมาซึ่งปัญหาการขาดแคลนแรงงานดูแลผู้สูงอายุ และปัญหาการทอดทิ้งผู้สูงอายุ ในด้านสาธารณสุข การสูงวัยของประชากรส่งผลให้ความต้องการบริการสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความท้าทายที่เกิดจากการสูงวัยของประชากร และได้มีการดำเนินการต่างๆ เพื่อรับมือกับปัญหานี้ เช่น การจัดทำแผนแม่บทผู้สูงอายุแห่งชาติ การจัดตั้งกองทุนผู้สูงอายุ และการขยายสิทธิประกันสังคมให้ครอบคลุมผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายอีกมากที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญเพื่อให้ผู้สูงอายุในประเทศไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี
สังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะเกิดขึ้นในไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ โดยจำนวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมไทยในหลายๆ ด้าน รวมถึงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสังคมผู้สูงอายุ
มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย ได้แก่
- อัตราการเกิดที่ลดลง: อัตราการเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2564 อัตราการเกิดอยู่ที่ 10.5 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
- อายุขัยที่เพิ่มขึ้น: อายุขัยของคนไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2564 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 72.3 ปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 72.6 ปี
- การย้ายถิ่นฐาน: การย้ายถิ่นฐานออกจากชนบทเข้าสู่เมืองได้ส่งผลให้จำนวนผู้สูงอายุในชนบทเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนมากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองได้
ผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุ
สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมไทยในหลายๆ ด้าน ได้แก่
ด้านเศรษฐกิจ: สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลให้แรงงานในวัยทำงานลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุจำนวนมากยังต้องพึ่งพาเบี้ยยังชีพจากรัฐบาล ซึ่งจะเพิ่มภาระให้กับงบประมาณของรัฐ
ด้านสังคม: สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลให้จำนวนผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ สังคมผู้สูงอายุยังจะส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการต่างๆ เช่น การดูแลผู้สูงอายุและการพยาบาล
ด้านการเมือง: สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลให้ผู้สูงอายุมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าคนวัยอื่นๆ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับนโยบายสวัสดิการสังคม
การเตรียมตัวรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ
รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือกับสังคมผู้สูงอายุโดยด่วน โดยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถทำได้ ได้แก่
การส่งเสริมการเกิด: รัฐบาลควรส่งเสริมการเกิดโดยการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ครอบครัวที่มีบุตร เช่น การลดหย่อนภาษีและการให้เงินอุดหนุน
การเพิ่มอายุขัย: รัฐบาลควรส่งเสริมการเพิ่มอายุขัยโดยการปรับปรุงระบบสาธารณสุขและการส่งเสริมสุขภาพ
การลดการย้ายถิ่นฐาน: รัฐบาลควรลดการย้ายถิ่นฐานออกจากชนบทเข้าสู่เมืองโดยการพัฒนาเศรษฐกิจในชนบทและการสร้างงานในชนบท
การเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจ: รัฐบาลควรเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจโดยการเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาแรงงาน
การเตรียมความพร้อมด้านสังคม: รัฐบาลควรเตรียมความพร้อมด้านสังคมโดยการสร้างระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมและการพัฒนาบริการดูแลผู้สูงอายุ
การเตรียมความพร้อมด้านการเมือง: รัฐบาลควรเตรียมความพร้อมด้านการเมืองโดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้สูงอายุและการพัฒนาพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับนโยบายสวัสดิการสังคม
สังคมผู้สูงอายุเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือกับสังคมผู้สูงอายุโดยด่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้อย่างราบรื่น
เราจะเตรียมตัวอย่างไร
การเตรียมตัวสำหรับสังคมผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทำ เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อเตรียมตัวสำหรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น
- การออมเงิน และการลงทุน ควรออมเงิน และลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในยามเกษียณ
- การดูแลสุขภาพ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สามารถมีสุขภาพที่ดีในยามเกษียณ
- การเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ ควรวางแผนการเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สามารถเกษียณอย่างมีความสุข
- การมีส่วนร่วมในสังคม ควรมีส่วนร่วมในสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถมีชีวิตที่กระฉับกระเฉงและมีคุณค่าในยามเกษียณ
การเตรียมตัวสำหรับสังคมผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทำ เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากต้องการหา ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สนใจสอบถาม

KIN - Rehabilitation & Homecare
สาขา ลาดพร้าว 71
เลขที่ 6 ซอยนาคนิวาส 18 (ลาดพร้าว 71)
เวลาทำการ ทุกวัน 09.00 – 18.00 น.
: KIN - Rehabilitation & Homecare
แผนที่ : https://bit.ly/2VvPDq6
KIN Origin Healthcare Wellness Center
สาขา สุขุมวิท 107
596 หมู่ 7 ซอยแบริ่ง 10 ถนนแบริ่ง 107
สำโรงเหนือ เมืองสมุทรปราการ
เวลาทำการ ทุกวัน 09.00 – 18.00 น.
: Kin Origin Sukhumvit 107
แผนที่ : https://shorturl.asia/KxzBk